ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ม็อบญาติ 3 ผู้ต้องหาบุกพื้นที่ป่านับร้อยไร่ปลูกสตรอว์เบอร์รี ที่ปิดล้อมที่ว่าการอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่บ่ายยันดึกวานนี้ (12 พ.ค. 59) เพื่อกดดันให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา ยอมสลายตัวแล้วช่วงเช้ามืดวันนี้ (13) หลัง ผบ.มทบ.33 และผู้การตำรวจเชียงใหม่เข้าเจรจาจนได้ข้อตกลงให้ประกันตัวในวงเงินคนละ 50,000 บาท ขณะที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ระบุมีหลักฐานชัดบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำเดินหน้าดำเนินคดีตามกฎหมาย
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า จากกรณีที่วานนี้ (12 พ.ค. 59) กลุ่มชาวบ้านกว่า 100 คน ได้รวมตัวกันทำการปิดล้อมที่ว่าการอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อกดดันให้ปล่อยตัว 3 ผู้ต้องหา ได้แก่ นายกวินท์ เซ่งจ่าว นายเยะ เซ่งจ่าว และนายธรรมธร เซ่งจ่าว ซึ่งถูกจับกุมหลังจากที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง, เจ้าหน้าที่ป่าไม้, เจ้าหน้าที่อุทยานฯ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการกำลังเข้าทำการบุกยึดคืนที่ป่าที่ถูกบุกรุกประมาณ 100 ไร่ เพื่อปลูกสตรอว์เบอร์รี และอื่นๆ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิง ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ต้นน้ำของชาวบ้านในบ้านขุนห้วยป่าคา พร้อมจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว
ทั้งนี้ การปิดล้อมดังกล่าวได้เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ โดยกลุ่มญาติและชาวบ้านที่เป็นกลุ่มของผู้ที่ถูกจับกุม ซึ่งการปิดล้อมกดดันได้ยืดเยื้อต่อเนื่องจนกระทั่งช่วงดึกและมีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งช่วงดึก พล.ต.โกศล ประทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 และ พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งได้เดินทางเข้าติดตามสถานการณ์และเจรจากับทางฝ่ายผู้ถูกจับกุม จนได้ข้อสรุปว่าจะมีการปล่อยตัวชั่วคราวทั้ง 3 คน โดยให้วางเงินประกันคนละ 50,000 บาท แล้วค่อยมีการนัดเจรจากันอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นที่พอใจของทางฝ่ายผู้ถูกจับกุมและยอมสลายตัวไปในช่วงเช้ามืดวันนี้ (13 พ.ค.) ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมดำเนินการตามกฎหมายในกรณีการการบุกรุกพื้นที่ป่าต่อไป
สำหรับการบุกยึดคืนที่ป่าที่ถูกบุกรุกประมาณ 100 ไร่ เพื่อปลูกสตรอว์เบอร์รีของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้นั้น ช่วงบ่ายวันนี้ (12 พ.ค.) นายเกรียงไกร เพาะเจริญ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิง พร้อมด้วยนายชาตรี กิตติธนดิตถ์ นายอำเภอสะเมิง, พ.อ.พิศิษฐ์ กันทะใจ หัวหน้า กกร.มทบ.33 และเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจภูธรสะเมิง, หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.40 (ยั้งเมิน) อุทยานแห่งชาติขุนขาน, ศูนย์ปฏิบัติการสนธิกำลังป้องกันและปราบปราม การลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เป็นพื้นที่ล่อแหลมอยู่ในเกณฑ์วิกฤตที่ 2 และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายได้ร่วมกันสนธิกำลังปฏิบัติการพลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาการอย่างยั่งยืน พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิง ตำบลยั้งเมิน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้นำกำลังเข้าร่วมตรวจยึดพื้นที่ป่าที่มีการบุกรุกบริเวณบ้านขุนห้วยป่าคา ท้องที่หมู่ 1 ตำบลยั้งเมิน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิง ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของชุมชน ตำบลยั้งเมิน และอำเภอสะเมิง หลังตรวจพบว่ามีการบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าไม้เพื่อปลูกสตรอว์เบอร์รี และข้าวโพด รวมพื้นที่ประมาณ 97 ไร่ นอกจากนี้ยังพบสิ่งปลูกสร้างถาวรหลายหลัง รวมทั้งถังใส่สารเคมีฆ่าแมลง
จากการตรวจสอบไม่พบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ผ่อนปรนเพื่อรอการพิสูจน์สิทธิ์ ตามมติ ครม.30 มิ.ย. 2541 และอยู่ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิง และป่าสงวนแห่งชาติป่าสะเมิง ซึ่งในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้กล่าวร้องทุกข์ร้องโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป่าไม้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสะเมิง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายเกรียงไกร เพาะเจริญ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิง ระบุว่า สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมาทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสะเมิงได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ว่าบริเวณต้นน้ำบ้านขุนห้วยป่าคา ท้องที่หมู่ 1 ตำบลยั้งเมิน ได้ถูกนายทุนบุกรุกเป็นพื้นที่กว้าง ดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้รับเรื่องและเข้าไปดำเนินการตรวจสอบโดยได้มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมทำการสำรวจ พื้นที่ที่ถูกบุกรุกดังกล่าว ซึ่งจากผลการตรวจสอบในวันที่ 22 ธ.ค. 58 พบว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำจริงจับพิกัดรอบแปลงได้เนื้อที่ประมาณ 83 ไร่ และพบพื้นที่ที่อยู่ใช้ไปกับการเพาะปลูก สตรอเบอร์รี่ ประมาณ 80% และพื้นที่ที่เหลือก็มีการเพาะปลูกข้าวโพดบางส่วน
นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการตัดทำลายไม้ การเจาะใส่ยาทำให้ต้นไม้ตาย อีกทั้งยังมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรรวมประมาณ 5 หลัง และโรงเก็บอุปกรณ์ต่างๆ และยังมีการขุดบ่อน้ำจำนวน 3 บ่อ การเดินสายไฟผ่านแนวป่าความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะเดียวกันจากการสอบถามบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ทราบว่า พื้นที่ดังกล่าวมี นายกวินท์ เซงจ่าว เป็นเจ้าของ
ต่อมาในวันที่ 15 ม.ค. 59 ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการเชิญตัวเจ้าของพื้นที่ที่บุกรุกเข้ามาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายก็มีนายกวินท์ เซงจ่าว และ นายธรรมธร เซงจ่าว จากการตรวจสอบพบว่าเป็นคนนอกพื้นที่ และอยู่ที่ตำบลบ่อแก้ว อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางเข้าร่วมประชุมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง
ในวันดังกล่าวได้มีการเจรจาเพื่อขอร้องให้ทางผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ดังกล่าวซึ่งทางผู้บุกรุกก็ได้มีการชี้แจงยืนยันหลักฐาน และจากการพูดคุยได้ข้อสรุปว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของนายกวินท์ เซงจ่าวจริง มีใบตอบรับเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ ซื้อมาจากชาวบ้านทางฝั่ง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากผลการตรวจสอบมีมติว่าจะให้ทางนายกวินท์ เซงจ่าว ออกจากพื้นที่ทั้งหมดพร้อมทั้งให้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ระบบไฟฟ้าออกจากพื้นที่ทั้งหมด โดยให้เวลาถึงวันที่ 30 เม.ย. 59 ซึ่งทางนายกวินท์ก็ได้ยอมรับเงื่อนไข พร้อมทั้งลงชื่อไว้เป็นหลักฐานโดยสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 29 ม.ค. 59 ประมาณ 2 อาทิตย์ต่อมา ทางนายกวินท์ได้เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องกับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ว่า ตนและครอบครัวได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากเจ้าของเดิมจำนวน 2 ครั้ง โดยในครั้งแรกจำนวน 7 ไร่ และครั้งที่ 2 จำนวน 50 ไร่ พร้อมทั้งได้แนบเอกสารสำคัญสัญญาซื้อขายมาทั้ง 2 ฉบับ และอ้างว่าพื้นที่เดิมมีร่องรอยการทำมาหากินมาก่อนปี 2540 และอ้างอีกว่าเคยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ อีกทั้งอ้างว่าเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 59 ที่ได้มีการเจรจาก่อนหน้านี้นั้นทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ทหารมีอาวุธครบมือมาข่มขู่ให้ยอมรับ และบีบให้ออกจากพื้นที่ รวมทั้งอ้างด้วยว่าในพื้นที่โดยรอบซึ่งเป็นของผู้อื่นก็เป็นพื้นที่ลักษณะเดียวกันทำไมถึงไม่มีการดำเนินคดี ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเข้าดำเนินการเพื่อให้เกิดความถูกต้อง
ขณะที่ทางด้านนายชาตรี กิตติธนดิตถ์ นายอำเภอสะเมิง กล่าวว่า โดยภาพรวมการบุกรุกพื้นที่ป่าของอำเภอสะเมิงนั้น เท่าที่ทราบมีมาประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่ายังมีปริมาณที่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ต้องหยุดยั้งให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ สาเหตุที่ทีการบุกรุกนั้นก็เนื่องมาจากความเจริญมีถนนเข้าถึง ประกอบกับเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตขึ้นจึงทำให้มีความต้องการในการใช้พื้นที่เพาะปลูก อย่างเช่น ส้ม และสตรอว์เบอร์รี เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้อาจจะยังมีไม่มากแต่หากไม่มีการหยุดยั้งตั้งแต่เนิ่นก็จะลุกลามบานปลายมากขึ้นและทำให้แก้ไขได้ยาก อย่างเช่นในกรณีที่จะเข้าไปดำเนินการครั้งนี้คนในพื้นที่ก็จับตาดูอยู่ว่าหากทางภาครัฐไม่มีการเข้าไปดำเนินการให้เป็นตัวอย่าง ก็จะมีคนทำบ้าง
อย่างไรก็ตาม จากสภาพโดยรวมของอำเภอสะเมิง มีพื้นที่ป่าทั้งสิ้นประมาณ 5 แสนกว่าไร่ โดยแยกเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ประมาณ 2 แสนกว่าไร่ ป่าอนุรักษ์พิเศษ ประมาณ 2 แสนไร่ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอีก 1 แสนกว่าไร่ ซึ่งตรงนี้การที่ราษฎรเข้าไปบุกรุกเป็นพื้นที่ทำกินนั้นถือเป็นสิ่งที่ผิด และต้องเร่งสร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับทางราษฎรได้เข้าใจการดำเนินการของทางเจ้าหน้าที่ด้วย