เชียงใหม่ - เกิดเหตุไฟไหม้ป่าบ้านช่างเคี่ยน เขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพฯ ซ้ำอีกรอบ คราวนี้จุดเกิดเหตุอยู่ใกล้กับจุดที่เคยเกิดไฟไหม้ใหญ่ 2 วันก่อน เจ้าหน้าที่ต้องใช้ ฮ.ตักน้ำโปรยนับสิบเที่ยวถึงเอาอยู่
วันนี้ (10 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นที่ผ่านมาเกิดไฟไหม้ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย บริเวณบ้านช่างเคี่ยน เชิงดอยสุเทพ ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ติดกับจุดที่เกิดไฟไหม้เมื่อ 2 วันก่อน ท่ามกลางสภาพอากาศแห้ง และมีเศษใบไม้แห้งจำนวนมาก รวมทั้งมีกระแสลมทำให้เปลวเพลิงลุกลามเร็วขึ้น
หลังเกิดเหตุหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระดมรถน้ำดับเพลิง และเจ้าหน้าที่หน่วยเสือไฟ เข้าพื้นที่ไปดับไฟ แต่การเดินทางเข้าถึงจุดเกิดเหตุเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องเดินเท้าอย่างเดียว จึงประสานขอเฮลิคอปเตอร์นำกระเช้าตักน้ำขนาด 500 ลิตร บินตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ขึ้นบินโปรยละอองน้ำสกัดไฟไม่ให้ลุกลามลงมาด้านล่าง ซึ่งอยู่ใกล้กับค่ายลูกเสือช่างเคี่ยน และควบคุมพื้นที่ให้อยู่ในวงจำกัดให้เร็วที่สุด
เจ้าหน้าที่ต้องบินตักน้ำ และขึ้นบินโปรยละอองน้ำกว่า 10 เที่ยวจึงจะดับไฟได้ แต่คาดว่าไฟไหม้อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพฯ ซ้ำครั้งนี้ทำให้พื้นที่ป่าเต็งรังเสียหายประมาณ 5 ไร่ เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือชาวบ้านเข้าไปลักลอบเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่การหาของป่า
ก่อนหน้านี้ไม่ถึง 30 นาทีก็เกิดไฟไหม้ป่าบริเวณเชิงเขาวัดพระธาตุดอยคำ และลุกลามขึ้นไปบนวัดพระธาตุดอยคำ จนกุฏิไม้สักของวัดพระธาตุดอยคำวอดไป 1 หลัง ยังดีที่ทางวัดทำแนวกันไฟไว้ แต่เปลวไฟก็ไหม้ลุกลามขยายวงกว้างและเกิดกลุ่มควันจำนวนมาก จนทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปกราบไหว้องค์พระเจ้าทันใจ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดพากันแตกตื่นกันทั่ว
พื้นที่เกิดเพลิงไหม้เป็นหน้าผาสูงลาดชัน ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์บินตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำในศูนย์วิจัยเกษตรแม่เหียะบินโปรยน้ำเกือบ 20 เที่ยวกว่าจะสามารถดับไฟได้ พร้อมทั้งต้องเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เสือไฟไว้บริเวณด้านล่างเชิงเขาป้องกันการลุกลาม
โดยจุดเกิดเหตุเชิงเขาวัดพระธาตุดอยคำนั้นเชื่อว่าน่าจะมีชาวบ้านเข้าไปบริเวณที่ดินร้างเชิงเขาวัดพระธาตุดอยคำเพื่อยืนปัสสาวะ และได้ทิ้งก้นบุหรี่โดยไม่ดับไฟ จนทำให้ไฟไหม้หญ้าแห้งลุกลาม หรือไม่ก็เป็นการเจตนาเผา ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างสืบสวนข้อเท็จจริง
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้ไปอำนวยการดับไฟด้วยตัวเองก็ได้ย้ำให้เจ้าหน้าที่สืบหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีให้ได้