ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - หอดูดาวโคราชชวนส่อง “สุริยุปราคา” 9 มี.ค.นี้ เผยโคราชเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่งสูงสุด 38% ย้ำไม่ควรพลาดต้องรออีก 3 ปี แนะห้ามมองด้วยตาเปล่าหรือผ่านกล้องถ่ายรูป รวมทั้งโทรศัพท์มือถือเด็ดขาด ต้องใช้อุปกรณ์การชมเท่านั้น หรือชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ เผยหอดูดาวโคราชจัดเต็มขนทั้งกล้องและแว่นตา อุปกรณ์ต่างๆ ให้ชมฟรี
วันนี้ (6 มี.ค.) ที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา นครราชสีมา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายบุญญฤทธิ์ ชุณหกิจ เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา นครราชสีมา เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่มนุษย์สามารถคำนวณเวลาและสถานที่เกิดล่วงหน้าได้มานานหลายร้อยปีแล้ว และยังคำนวณล่วงหน้าจากนี้ไปได้นับแสนปี เพราะสุริยุปราคาเกิดจากดวงจันทร์โคจรมาอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ หากดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เล็กน้อย ดวงจันทร์จะบดบังดวงอาทิตย์ทั้งดวง
เช่นเดียวกันปรากฏการณ์ครั้งนี้ ในวันที่ 9 มี.ค.นี้เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงในชุดซารอสที่ 130 แนวคราสเต็มดวงพาดผ่านมหาสมุทรอินเดีย ผ่านประเทศอินโดนีเซีย สู่มหาสมุทรแปซิฟิก โดยประเทศไทยจะเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน เห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่งมากที่สุดทางภาคใต้ ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ประมาณร้อยละ 69 และค่อยๆ เห็นน้อยลงจากใต้ขึ้นเหนือ กรุงเทพมหานคร เห็นประมาณร้อยละ 41 และเชียงใหม่ ประมาณร้อยละ 27
สำหรับการสังเกตการณ์เกิดสุริยุปราคา เช้าตรู่วันที่ 9 มี.ค. 2559 ในส่วนของ จ.นครราชสีมานั้น หากท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆบดบังดวงอาทิตย์ ทุกพื้นที่จะสามารถสังเกตเห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้ตั้งแต่เวลา 06.41-08.34 น. ซึ่งจะเป็นเพียง “สุริยุปราคาบางส่วน” เห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่งสูงสุดประมาณร้อยละ 38
โดยทางหอดูดาวฯ นครราชสีมาได้เตรียมอุปกรณ์สังเกตดวงอาทิตย์อย่างปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมชมสุริยุปราคาครั้งนี้อย่างเต็มที่ เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00-09.00 น. เข้าร่วมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา นครราชสีมา ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) อ.เมือง จ.นครราชสีมา
นายบุญญฤทธิ์กล่าวอีกว่า ข้อควรปฏิบัติในการสังเกตการณ์สุริยุปราคานั้นต้องใช้อุปกรณ์โดยเฉพาะเท่านั้น ห้ามสังเกตการณ์ด้วยตาเปล่าหรือแว่นกันแดดเด็ดขาด เพราะแสงอาทิตย์จะทำลายเซลล์ประสาทตาจนตาบอดถาวรได้ ห้ามสังเกตการณ์ผ่านกล้องทุกชนิด ทั้งกล้องถ่ายรูป กล้องโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องโทรทรรศน์ที่ไม่ติดฟิลเตอร์ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีเลนส์รวมแสง ยิ่งทวีกำลังของแสงอาทิตย์มากขึ้น นอกจากอันตรายแก่ดวงตาแล้ว อุปกรณ์ดังกล่าวจะเสียหายด้วย
วิธีการที่ถูกต้องนั้น หากสังเกตทางตรงต้องใช้กล้องโทรทรรศน์สำหรับดูดวงอาทิตย์โดยเฉพาะ หรือกล้องโทรทรรศน์ที่ติดฟิลเตอร์กรองแสง หรือสังเกตทางอ้อมโดยใช้ฉากรับแสง สังเกตรูปร่างของเงาที่ทาบลงบนฉากนั้น สามารถใช้อุปกรณ์ที่หาได้ใกล้ตัว เช่น กระดาษทึบเจาะรูเล็กๆ ให้แสงลอดผ่าน แล้วทาบเงาลงบนพื้นผิวอื่น จะเห็นเงาที่ทอดลงเป็นวงกลมเว้าไปบางส่วน สัดส่วนเท่ากับขนาดของคราสในเวลานั้น เรียกว่าหลักการของ “กล้องรูเข็ม” กระชอนคั้นกะทิที่มีรูเล็กๆ ลำไผ่เจาะรู หรือแม้แต่ร่มไม้ที่มีแสงแดดลอดลงมาเป็นจุดเล็กๆ ก็ใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ได้
หรือเดินทางไปที่จุดสังเกตการณ์ของสมาคมดาราศาสตร์ไทย และเครือข่ายดาราศาสตร์ทั่วประเทศ จะได้สังเกตเงาคมชัดฉายผ่านกล้องโทรทรรศน์ และยังมีแผ่นฟิล์มพอลิเมอร์ดำ หรือฟิล์มไมลาร์ ซึ่งเป็นฟิล์มสีดำทึบ ใช้กรองแสงเพื่อสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ได้โดยตรง
นอกจากนี้ หอดูดาวฯ นครราชสีมาได้เตรียม “แว่นตาดูดวงอาทิตย์” ไว้บริการประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วย หรือจะชมการถ่ายทอดสด “สุริยุปราคาเต็มดวง” จากประเทศอินโดนีเซียผ่านทางเว็บไชต์ www.narit.or.th ก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สุริยุปราคาบางส่วนครั้งนี้ถ้าพลาดแล้วจะต้องรออีกเกือบสี่ปี คือวันที่ 26 ธันวาคม 2562 และเมืองไทยจะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงอีกครั้งในอีก 54 ปีข้างหน้า วันที่ 11 เมษายน 2613 จะเป็นสุริยุปราคาครั้งประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสุริยุปราคาในชุดซารอสที่ 130 ชุดเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์นักดาราศาสตร์ทรงคำนวณไว้ได้อย่างแม่นยำ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 และจะสังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ได้ที่ อ.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระราชอาคันตุกะไปทอดพระเนตร