น่าน - มอดไม้เมืองน่านเหิม ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ขณะปิดล้อมเข้าจับกุม จนต้องขอกำลังเสริมกดดันหลายชั่วโมง ก่อนยึดของกลางได้อื้อ ทั้งไม้หวงห้าม อาวุธปืน แถมเจอยาบ้าอีก 7 หมื่นเม็ด ผู้การเผยมีนายทุนใช้ยาบ้าจ่ายค่าแรงแทนเงิน
วันนี้ (3 มี.ค.) พล.ต.ต.ดร.ภาดล ประภานนท์ ผบก.ภ.น่าน พร้อมด้วย พ.อ.เศรษฐพล เกตุเต็ม เสนาธิการ มทบ.38 และ พ.ต.อ.บุญสูง สอาด ผกก.สภ.เวียงสา, พ.ต.อ.ณฐพนธ์ มานพ ผกก.สส.ภ.จว.น่าน และ พ.ต.ท.สุรศักดิ์ มีเสาเรือน สว.นปพ.ภ.จว.น่าน, นายสักรินทร์ ปัญญาใจ ผอ.ส่วนป้องกันและปราบปรามภาคเหนือ กรมป่าไม้ ได้สนธิกำลังตำรวจ, ทหาร, ปกครอง, เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ จำนวนกว่า 200 นาย เข้าปิดล้อมบ้านยาบหัวนา-ภักดีธรรม หมู่ 6 ต.ยาบหัวนา อ.เวียงสา จ.น่าน หลังสืบทราบว่ามีมอดไม้ลักลอบตัดไม้ที่บริเวณป่าเหนือหมู่บ้าน
แต่ขณะเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมกลุ่มมอดไม้ได้ไหวตัว และได้ยิงปืนขู่เจ้าหน้าที่ จนต้องขอกำลังเสริมเข้าสกัดปิดล้อมนานหลายชั่วโมง จนเห็นท่าไม่ดีกลุ่มมอดไม้ได้ทิ้งของกลางทั้งรถยนต์ ไม้ และเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ที่เกิดเหตุ แล้วพากันถอยหนีเข้าป่ารอยต่อจังหวัดแพร่ไปได้
จากการตรวจสอบพบเลื่อยโซ่จำนวน 2 ตัว, ไม้ชิงชันเหลี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลาง 50-80 เซนติเมตร จำนวน 15 ท่อน, ไม้เต็งรังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร จำนวน 10 ท่อน, รถยนต์อีซูซุ สีน้ำเงิน ทะเบียน บพ 5511 แพร่
นอกจากนี้ยังพบรถยนต์อีซูซุ สีบรอนซ์เงิน หมายเลข 3467 แพร่ ที่จอดรอขนไม้อยู่ และเมื่อตรวจค้นภายในรถพบยาบ้าจำนวน 35 มัด รวม 7 หมื่นเม็ด ห่อหุ้มด้วยเทปหนาแน่น ใส่ถุงปุ๋ยวางไว้ที่เบาะหลังคนขับ และกระสุนปืนขนาด .357 จำนวน 13 นัด, กระสุนปืนลูกซอง จำนวน 12 นัด พร้อมด้วยบัตรประชาชนนายชัยพฤษ์ แสนเฮ้อว อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 150 หมู่ 6 ต.ยาบหัวนา อ.เวียงสา จ.น่าน
เจ้าหน้าที่จึงได้แบ่งกำลังเข้าตรวจค้นที่บ้านเลขที่หลังดังกล่าว แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายอื่น และไม่พบตัวผู้กระทำผิด โดยภรรยาอ้างว่าออกไปทำงานที่ไร่ตั้งแต่เช้า
พล.ต.ต.ดร.ภาดลกล่าวว่า จากการข่าวเชิงลึกทราบว่าขบวนการตัดไม้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยลักลอบตัดไม้จนถูกเจ้าหน้าที่กดดัน จับกุมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา และได้กลับมาลักลอบตัดอีกครั้ง โดยนายทุนได้ใช้ยาบ้าจ่ายแทนเงินเป็นค่าแรง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทราบตัวผู้กระทำผิดแล้ว โดยประสานไปยังจังหวัดแพร่ ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อเขตจังหวัดน่าน เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป