ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เครือข่ายประชาชนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม รวมตัวเดินเท้าจากเชียงใหม่มุ่งเข้ากรุงเทพฯ พบนายกรัฐมนตรีทวงถามการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน จี้เร่งรัดโฉนดชุมชน และธนาคารที่ดิน หลังข้อสรุปผ่านมากว่าปียังไร้ความคืบหน้า
วันนี้ (22 ธ.ค. 58) ที่บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ กลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ประมาณ 100 คน นำโดยนายดิเรก กองเงิน แกนนำ สกน. ได้รวมตัวเคลื่อนไหวรณรงค์ มาตามสัญญา เดินก้าวแลก เพื่อปฏิรูปที่ดินไทย เรียกร้องให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดิน และหยุดทบทวนนโยบายทวงคืนผืนป่า
โดยได้มีการจัดตั้งตัวแทน 4 คน ได้แก่ นายแก้ว คำติ, นายสุแก้ว ฟุ้งฟู, นางคำใส ปัญญามี และนายสมบัติ ตุ้ยดง ร่วมกันเดินเท้าจากจังหวัดเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ เพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรี ขณะที่สมาชิกกลุ่มอีกจำนวนหนึ่งจะร่วมเดินด้วยสลับกับการขับรถยนต์เพื่อเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือระหว่างทาง
สกน.และ ขปส.มีข้อเรียกร้องเร่งด่วนถึงนายกรัฐมนตรี 5 ประเด็น ได้แก่ 1. การเร่งรัดแนวทางรับรองสิทธิชุมชนในการดูแลจัดการที่ดินและทรัพยากรในรูปแบบโฉนดชุมชน และให้ทบทวนและสั่งการให้ สนง.โฉนดชุมชนปฏิบัติหน้าที่ต่อไป พร้อมทั้งผลักดันร่าง พ.ร.บ.สิทธิชุมชน ให้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยเร็ว
2. เร่งรัดโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ทบทวนมติให้ยุบสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (บจธ.) ขอให้ขยายเวลาไปอีก 5 ปีตามที่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ
3. ขอให้ชะลอการประกาศเขตอุทยานฯ และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการกันเขตพื้นที่ออกก่อนการประกาศเขต และแต่งตั้งคณะทำงานโดยมีองค์ประกอบของผู้แทนชุมชนและเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบแนวเขตอุทยานร่วมกัน
4. ทบทวนและแก้ไขการดำเนินการตามแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ที่ไม่เป็นธรรมต่อวิถีชีวิตประชาชน ดังที่เครือข่ายภาคประชาชนฯ มีการตั้งข้อสังเกต และนำเสนอประเด็นมาแล้วหลายครั้ง และ 5. เร่งรัดให้มีการประชุมคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ และที่ดินปล่อยทิ้งร้าง และหาแนวทางการใช้ที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการเร่งด่วน
ทั้งนี้ นายดิเรกเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ สกน.และ ขปส.ได้เคลื่อนไหวรณรงค์ เดินก้าวแลก เพื่อปฏิรูปที่ดินไทย ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 57 เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะกรณีปัญหาที่ดิน อันเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเกษตรกรและกลุ่มคนยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคมไทยมาช้านาน โดยเริ่มรณรงค์เดินก้าวแลก ที่วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ ให้เกิดการปฏิรูปที่ดิน และรัฐบาล กับ คสช.ทบทวนนโยบายการทวงคืนผืนป่าตามคำสั่ง คส.ที่64/2557, 66/2557 และแผนแม่บทป่าไม้ที่สร้างผลกระทบต่อประชาชน จนนำไปสู่การเปิดเวทีเจรจากับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 13 และ 17 พ.ย. 57
กระทั่งจนถึงปัจจุบันรวมเวลา 409 วัน หรือผ่านไป 1 ปี 44 วัน การแก้ไขปัญหาไม่มีความคืบหน้าแม้แต่ก้าวเดียว ชาวบ้านและชุมชนก็ยังคงได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากนโยบายทวงคืนผืนป่าตามแผนแม่บททั่วประเทศเหมือนเดิม ยังมีการจับกุม ยึดพื้นที่ ตัดพืชผลอาสินของชาวบ้านผู้ยากไร้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ เช่น การตัดฟันไร่ข้าวโพดของชาวบ้านห้วยหก อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และการตัดฟันยางพาราบริเวณอุทยานถ้ำผาไท และเรียกค่าเสียหายกว่า 4.5 ล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบันมีชาวบ้านเป็นผู้ต้องหากว่า 1,000 คน โดยไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นนายทุน หรือเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อน
แกนนำ สกน.ระบุด้วยว่า แผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ฯ ดังกล่าว ขาดความเป็นธรรมต่อวิถีชีวิตประชาชนและไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด โดยเฉพาะการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเพิ่มอีก 21 แห่ง เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้ได้ 43.5 ล้านไร่ จากเดิม 38.8 ล้านไร่ ภายในระยะเวลา 1 ปี อย่างเร่งรีบ โดยไม่มีการกันพื้นที่ของชุมชนเดิมก่อนการประกาศเขตอุทยาน ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยทำกินมาตั้งแต่บรรพบุรุษต้องกลายเป็นคนร้าย และไร้ที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย
นอกจากนั้นยังได้รับทราบมาว่า พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ปลัดสำนักนายกฯ ได้มีหนังสือเวียนให้สำนักงานโฉนดชุมชนยุติการปฏิบัติงาน และเตรียมเสนอให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกฯ เรื่องการจัดให้มีโฉนดชุมชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ได้รับการส่งมอบพื้นที่แล้ว และชุมชนที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาก่อนหน้านี้
ดังนั้น กลุ่มเครือข่ายประชาชน สกน.และ ขปส.ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงมีเจตนาที่จะเดินทางไปทวงสัญญากับรัฐบาล โดยเฉพาะกับนายกรัฐมนตรีโดยตรงเพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อสังคมและรัฐบาล โดยหวังว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะคืนความสุขให้ประชาชน และหากไม่มีการดำเนินการใดๆ ทางกลุ่มก็พร้อมจะยกระดับการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นต่อไป