แพร่ - อดีตรอง ผกก.สภ.ศรีเทพ ที่ถูกไล่ออกจากราชการ กรณีสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฆ่าคนตายโดยมิชอบ และถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด โร่ขึ้นโรงพักเมืองแพร่ แจ้งความดำเนินคดี “วิชา มหาคุณ” กรรมการ ป.ป.ช.พร้อมพวกรวม 6 คนรวดฐานหมิ่นประมาท อ้างคดีขาดอายุความ แต่ ป.ป.ช.ยังชี้ผิดอาญาเพื่อกลั่นแกล้ง
วันนี้ (3 ต.ค.) พ.ต.ท.โภคิน วงศ์ประมวลผล อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88 หมู่ 4 ต.ดอนมูล อ.สูงเม่น จ.แพร่ นายตำรวจนอกราชการ ได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.อมร ขว้างแป้น พนักงานสอบสวน สภ.เมืองแพร่ ดำเนินคดี คณะกรรมการ ป.ป.ช.พร้อมกับพวก คือ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ, นายโสภณ วงศ์สิโรจน์กุล อนุกรรมการ / เลขานุการ / ผู้รับมอบหมายจับ / ผู้มอบหมายให้ออกหมายจับ, นายสุวัชร์ สุดใจ อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ, นายเกรียงไกร เจริญวงษ์ อนุกรรมการผู้ช่วยเลขานุการ / ผู้พิมพ์และเขียนตำหนิรูปพรรณ, นายณัฏฐชัย ว่องสิทธิโรจน์ อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ, นายวรวิทย์ ทิพย์ธรรมธารา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้โฆษณาป่าวประกาศ
ฐานความผิดร่วมกัน หมิ่นประมาทใส่ความเท็จต่อบุคคลที่ 3 โดยประการที่น่าจะทำให้เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชังด้วยการโฆษณาป่าวประกาศเป็นหนังสือ และร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียง และทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ตาม ป.อาญา มาตรา 326, 328, 309, 83
พ.ต.ท.โภคินกล่าวว่า ตนต้องตกอยู่ในวังวนของความเละเทะของวงการตำรวจที่มีการเมืองเข้าแทรก มีการกลั่นแกล้ง และในที่สุดต้องถูกไล่ออกจากราชการ เรื่องเข้าสู่ ป.ป.ช. โดย ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งที่ 283/ 2552 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง สอบสวนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรอง ผกก.หัวหน้า สภ.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ตนได้ทำคดีฆาตกรรมมีคนถูกยิงตาย ศพอยู่ที่โรงพยาบาลศรีเทพจึงได้ออกไปทำการชันสูตรพลิกศพร่วมกับแพทย์ ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ รวมรวมพยานหลักฐาน ทราบว่าผู้ตายชื่อนางมาลัย กริมเวด หรือแมขุนทด
วันที่ 8 สิงหาคม 2543 ได้นำตัวนายดำรง ชุ้นเกษา มาทำการสอบสวนโดยยึดรถยนต์ไว้แล้วให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจที่พัก พบปลอกกระสุนปืน กระสุนปืน ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.สมศักดิ์ รุ่งแสง ส่งมอบสำนวนคดีให้และทำการสอบสวนต่อไป ต่อมานางจรรยา ชุ้นเกศา ภรรยาของนายดำรง เข้ามอบตัวเป็นผู้ต้องหาในคดีฐานฆ่าผู้อื่น โดยได้ให้ประกันตัวไปในวันเดียวกันด้วยวงเงินจำนวน 100,000 บาท
ต่อมา ป.ป.ช.กล่าวหาตนว่าสรุปสำนวนโดยปกปิดข้อมูลจริง เบี่ยงเบนคดี ซ่อนเร้น ทำให้ไร้ประโยชน์ด้วยการแก้ไขเอกสารอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดี และได้ทำความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องนางจรรยา ชุ้นเกษา ผู้ต้องหา ซึ่งการแก้ไขเอกสารนั้นแพทย์เป็นผู้แก้ไขในเอกสารของแพทย์ และมีการลงนามกำกับไว้ทั้งสิ้น
พ.ต.ท.โภคินกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้ทำการต่อสู้เพื่อขอความเป็นธรรม ที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิด มาตรา 157 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ต้องสูญเสียทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัว ซึ่งคดีดังกล่าวมีอายุความ 15 ปี ตาม ป.อาญา มาตรา 95 (2) ขณะนี้ขาดอายุความตั้งแต่ปี 2557 สิทธิการนำคดีอาญา มาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิอาญามาตรา 39 (6) แต่คณะอนุกรรมการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ย่อมรู้กฎหมายดีอยู่แล้ว ได้ร่วมกันใส่ความเท็จหาว่ามีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจเพื่อแกล้งให้ได้รับโทษ เพื่อให้ศาลออกหมายจับให้จงได้ ป.ป.ช.จึงกลายเป็นผู้มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 และ 200 เสียเอง และได้ร่วมกันเผยแพร่การใส่ความเท็จตามสื่อต่างๆ ในราชอาณาจักรไทย
พ.ต.ท.โภคินระบุว่า ป.ป.ช.จงใจใส่ความเท็จ ทำหนังสือนัดหมายให้ไปรายงานตัวต่ออัยการจังหวัดวิเชียรบุรี ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 โดยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.นำหนังสือมาส่งเองที่บ้านในวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เนื่องจากศาลจังหวัดวิเชียรบุรี กับจังหวัดแพร่ ห่างกัน 400 กม.การไปรายงานตัวต้องมีการเตรียมตัวและหาหลักทรัพย์ไปประกันตัว มีเวลาเพียงวันเดียวที่เป็นวันทำงานราชการคือ วันที่ 28 กรกฎาคม จึงได้ทำหนังสือลงวันที่ 28 กรกฎาคม ถึง ป.ป.ช.เพื่อขอเลื่อน หนังสือขอเลื่อนถึง ป.ป.ช.ในวันที่ 1 สิงหาคม
แต่ในวันที่ 6 สิงหาคม ศาลออกหมายจับ โดย ป.ป.ช.ผู้ขอออกหมายจับทราบดีแล้วว่า มีการขอเลื่อน ป.ป.ช.กลับไม่นำหลักฐานการขอเลื่อนแนบไปกับการขอหมายจับ โดยทำข้อเสนอให้ออกหมายจับสถานเดียว ป.ป.ช.ทำข้อมูลเป็นเท็จจนส่งผลให้ถูกออกหมายจับดังกล่าว ทั้งๆ ที่ในคดีดังกล่าวมีการติดตามอยู่อย่างต่อเนื่อง และไม่มีพฤติกรรมหลบหนี รวมทั้งหมดอายุความไปแล้ว
พ.ต.ท.โภคินกล่าวด้วยว่า ป.ป.ช.ทำงานอย่างหละหลวม ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้กฎหมาย แต่การดำเนินการทั้งคดีของตน ป.ป.ช.ทำเหมือนคนไม่รู้กฎหมาย รวมไปถึงคดีที่เป็นคดีระดับชาติที่ ป.ป.ช.มีปัญหามาก โดยเฉพาะการสังหารผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองสำคัญๆ คดีทางการเมืองใหญ่ๆ คดีทุจริตทางการเมืองหลายคดี อาจเกิดความผิดพลาด เนื่องจาก ป.ป.ช.ทำงานโดยไม่ใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐาน
ด้านนายอำนวย พลหล้า คณะกรรมการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดแพร่ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนได้รับเอกสารมาก่อนหน้าแล้ว ในความไม่เป็นธรรมของกระบวนการยุติธรรม และการทำงานของ ป.ป.ช. ซึ่งในวันนี้เป็นโอกาสดีที่ พ.ต.ท.โภคิน วงศ์ประมวลผล นำความเข้าแจ้งความ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์พัฒนาการเมืองฯ จังหวัดแพร่จะเร่งทำเป็นข้อมูลถอดบทเรียนเป็นกรณีตัวอย่างให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาไม่ยืนอยู่บนกฎหมาย และเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำการถอดเป็นข้อมูลออกมาเพื่อให้สังคมได้เห็นขั้นตอนการทำงานของฝ่ายกระบวนการยุติธรรมว่า มีลับลมคมในอย่างไร โดยต้องไปเก็บข้อมูล จาก ป.ป.ช.ด้วย ก็ต้องขอความร่วมมือให้กลุ่มคนเล็กๆ ในชนบทได้ทำงานดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมต่อไป
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด พ.ต.ท.โภคิน วงศ์ประมวลผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ กรณีกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีดำเนินการสอบสวนคดีที่นางมาลัย กริมเวด หรือแมขุนทด ถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตาย โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 สำหรับความผิดทางวินัยนั้น เนื่องจากตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการซึ่งเหมาะสมแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ ป.ป.ช.จะต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัยซ้ำอีก แต่ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
วันนี้ (3 ต.ค.) พ.ต.ท.โภคิน วงศ์ประมวลผล อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88 หมู่ 4 ต.ดอนมูล อ.สูงเม่น จ.แพร่ นายตำรวจนอกราชการ ได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.อมร ขว้างแป้น พนักงานสอบสวน สภ.เมืองแพร่ ดำเนินคดี คณะกรรมการ ป.ป.ช.พร้อมกับพวก คือ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ, นายโสภณ วงศ์สิโรจน์กุล อนุกรรมการ / เลขานุการ / ผู้รับมอบหมายจับ / ผู้มอบหมายให้ออกหมายจับ, นายสุวัชร์ สุดใจ อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ, นายเกรียงไกร เจริญวงษ์ อนุกรรมการผู้ช่วยเลขานุการ / ผู้พิมพ์และเขียนตำหนิรูปพรรณ, นายณัฏฐชัย ว่องสิทธิโรจน์ อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ, นายวรวิทย์ ทิพย์ธรรมธารา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้โฆษณาป่าวประกาศ
ฐานความผิดร่วมกัน หมิ่นประมาทใส่ความเท็จต่อบุคคลที่ 3 โดยประการที่น่าจะทำให้เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชังด้วยการโฆษณาป่าวประกาศเป็นหนังสือ และร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียง และทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ตาม ป.อาญา มาตรา 326, 328, 309, 83
พ.ต.ท.โภคินกล่าวว่า ตนต้องตกอยู่ในวังวนของความเละเทะของวงการตำรวจที่มีการเมืองเข้าแทรก มีการกลั่นแกล้ง และในที่สุดต้องถูกไล่ออกจากราชการ เรื่องเข้าสู่ ป.ป.ช. โดย ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งที่ 283/ 2552 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง สอบสวนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรอง ผกก.หัวหน้า สภ.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ตนได้ทำคดีฆาตกรรมมีคนถูกยิงตาย ศพอยู่ที่โรงพยาบาลศรีเทพจึงได้ออกไปทำการชันสูตรพลิกศพร่วมกับแพทย์ ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ รวมรวมพยานหลักฐาน ทราบว่าผู้ตายชื่อนางมาลัย กริมเวด หรือแมขุนทด
วันที่ 8 สิงหาคม 2543 ได้นำตัวนายดำรง ชุ้นเกษา มาทำการสอบสวนโดยยึดรถยนต์ไว้แล้วให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจที่พัก พบปลอกกระสุนปืน กระสุนปืน ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.สมศักดิ์ รุ่งแสง ส่งมอบสำนวนคดีให้และทำการสอบสวนต่อไป ต่อมานางจรรยา ชุ้นเกศา ภรรยาของนายดำรง เข้ามอบตัวเป็นผู้ต้องหาในคดีฐานฆ่าผู้อื่น โดยได้ให้ประกันตัวไปในวันเดียวกันด้วยวงเงินจำนวน 100,000 บาท
ต่อมา ป.ป.ช.กล่าวหาตนว่าสรุปสำนวนโดยปกปิดข้อมูลจริง เบี่ยงเบนคดี ซ่อนเร้น ทำให้ไร้ประโยชน์ด้วยการแก้ไขเอกสารอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดี และได้ทำความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องนางจรรยา ชุ้นเกษา ผู้ต้องหา ซึ่งการแก้ไขเอกสารนั้นแพทย์เป็นผู้แก้ไขในเอกสารของแพทย์ และมีการลงนามกำกับไว้ทั้งสิ้น
พ.ต.ท.โภคินกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้ทำการต่อสู้เพื่อขอความเป็นธรรม ที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิด มาตรา 157 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ต้องสูญเสียทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัว ซึ่งคดีดังกล่าวมีอายุความ 15 ปี ตาม ป.อาญา มาตรา 95 (2) ขณะนี้ขาดอายุความตั้งแต่ปี 2557 สิทธิการนำคดีอาญา มาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิอาญามาตรา 39 (6) แต่คณะอนุกรรมการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ย่อมรู้กฎหมายดีอยู่แล้ว ได้ร่วมกันใส่ความเท็จหาว่ามีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจเพื่อแกล้งให้ได้รับโทษ เพื่อให้ศาลออกหมายจับให้จงได้ ป.ป.ช.จึงกลายเป็นผู้มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 และ 200 เสียเอง และได้ร่วมกันเผยแพร่การใส่ความเท็จตามสื่อต่างๆ ในราชอาณาจักรไทย
พ.ต.ท.โภคินระบุว่า ป.ป.ช.จงใจใส่ความเท็จ ทำหนังสือนัดหมายให้ไปรายงานตัวต่ออัยการจังหวัดวิเชียรบุรี ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 โดยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.นำหนังสือมาส่งเองที่บ้านในวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เนื่องจากศาลจังหวัดวิเชียรบุรี กับจังหวัดแพร่ ห่างกัน 400 กม.การไปรายงานตัวต้องมีการเตรียมตัวและหาหลักทรัพย์ไปประกันตัว มีเวลาเพียงวันเดียวที่เป็นวันทำงานราชการคือ วันที่ 28 กรกฎาคม จึงได้ทำหนังสือลงวันที่ 28 กรกฎาคม ถึง ป.ป.ช.เพื่อขอเลื่อน หนังสือขอเลื่อนถึง ป.ป.ช.ในวันที่ 1 สิงหาคม
แต่ในวันที่ 6 สิงหาคม ศาลออกหมายจับ โดย ป.ป.ช.ผู้ขอออกหมายจับทราบดีแล้วว่า มีการขอเลื่อน ป.ป.ช.กลับไม่นำหลักฐานการขอเลื่อนแนบไปกับการขอหมายจับ โดยทำข้อเสนอให้ออกหมายจับสถานเดียว ป.ป.ช.ทำข้อมูลเป็นเท็จจนส่งผลให้ถูกออกหมายจับดังกล่าว ทั้งๆ ที่ในคดีดังกล่าวมีการติดตามอยู่อย่างต่อเนื่อง และไม่มีพฤติกรรมหลบหนี รวมทั้งหมดอายุความไปแล้ว
พ.ต.ท.โภคินกล่าวด้วยว่า ป.ป.ช.ทำงานอย่างหละหลวม ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้กฎหมาย แต่การดำเนินการทั้งคดีของตน ป.ป.ช.ทำเหมือนคนไม่รู้กฎหมาย รวมไปถึงคดีที่เป็นคดีระดับชาติที่ ป.ป.ช.มีปัญหามาก โดยเฉพาะการสังหารผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองสำคัญๆ คดีทางการเมืองใหญ่ๆ คดีทุจริตทางการเมืองหลายคดี อาจเกิดความผิดพลาด เนื่องจาก ป.ป.ช.ทำงานโดยไม่ใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐาน
ด้านนายอำนวย พลหล้า คณะกรรมการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดแพร่ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนได้รับเอกสารมาก่อนหน้าแล้ว ในความไม่เป็นธรรมของกระบวนการยุติธรรม และการทำงานของ ป.ป.ช. ซึ่งในวันนี้เป็นโอกาสดีที่ พ.ต.ท.โภคิน วงศ์ประมวลผล นำความเข้าแจ้งความ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์พัฒนาการเมืองฯ จังหวัดแพร่จะเร่งทำเป็นข้อมูลถอดบทเรียนเป็นกรณีตัวอย่างให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาไม่ยืนอยู่บนกฎหมาย และเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำการถอดเป็นข้อมูลออกมาเพื่อให้สังคมได้เห็นขั้นตอนการทำงานของฝ่ายกระบวนการยุติธรรมว่า มีลับลมคมในอย่างไร โดยต้องไปเก็บข้อมูล จาก ป.ป.ช.ด้วย ก็ต้องขอความร่วมมือให้กลุ่มคนเล็กๆ ในชนบทได้ทำงานดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมต่อไป
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด พ.ต.ท.โภคิน วงศ์ประมวลผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ กรณีกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีดำเนินการสอบสวนคดีที่นางมาลัย กริมเวด หรือแมขุนทด ถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตาย โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 สำหรับความผิดทางวินัยนั้น เนื่องจากตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการซึ่งเหมาะสมแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ ป.ป.ช.จะต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัยซ้ำอีก แต่ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ