ชัยนาท - กลุ่มอนุรักษ์ “บึงวงฆ้อง” ร้องสื่อผ่านไปยังนายกฯ เร่งรัดกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ หลังศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนภายใน 30 วัน แต่ยังไม่ดำเนินการ หวั่น 20 ปีที่เรียกร้องถูกดอง-ยื้อเวลา ด้านเจ้าพนักงานที่ดินสาขาหันคา บอกอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ต้องรังวัดใหม่บางแปลง ส่วนชาวบ้านที่ต้องถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิยันว่าเป็นที่ทำกินมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ ตอนซื้อขายสำนักงานที่ดินไม่ได้แจ้งว่าเป็นที่สาธารณะ
วันนี้ (26 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายเฉลียว ยันสาด ชาวบ้าน ต.ห้วยงู อ.หันคา จ.ชัยนาท แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้อง ว่า การฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครอง ระหว่างตน กับอธิบดีกรมที่ดิน เรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกให้ในเขตพื้นที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้อง 41 แปลง ที่อธิบดีกรมที่ดินไม่เพิกถอนตามมติของคณะกรรมการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ครั้งที่ 1/2547 ขณะนี้คดีได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาหมายเลขแดงที่ อ.466/2558 วันที่ 9 ก.ค.58 ยืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินของผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้อง 41 แปลง ภายใน 30 วันหลังคดีสิ้นสุด
แต่ขณะนี้ล่วงเลยมากว่า 60 วันแล้ว กรมที่ดินยังไม่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิของผู้บุกรุก จึงร้องเรียนสื่อมวลชนผ่านไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้เร่งรัดกรมที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
นายเฉลียว กล่าวว่า บึงวงฆ้องได้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สาธารณะตั้งแต่ปี 2477 ประเภทประชาชนพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน พื้นที่ 1,121 ไร่ เมื่อมีปัญหาการบุกรุกกั้นเขตบึงทำเป็นพื้นที่นา ตนและชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงทั้ง 3 ตำบล คือ ต.นางลือ ต.ห้วยงู และ ต.แพรกศรีราชา ได้เข้าไปร้องเรียนต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อแก้ปัญหาการบุกรุก ตั้งแต่ปี 2537 กระทั่งในปี 2547 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ได้มีมติให้อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
แต่อธิบดีกรมที่ดินไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น จึงได้มีการฟ้องร้องคดีกันเรื่อยมา กระทั่งปัจจุบันศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแล้ว ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ อีก จึงอยากให้หน่วยงานรัฐเร่งดำเนินการ เพราะหากได้พื้นที่บึงวงฆ้องที่ถูกบุกรุกไปกว่า 300 ไร่กลับคืนมา ประชาชนในเขตติดต่อ 3 ตำบล ได้แก่ ต.ห้วยงู อ.หันคา ต.แพรกศรีราชา อ.สรรคบุรี ต.นางลือ อ.เมือง จะได้ใช้ประโยชน์เป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และเกษตรกรรมในฤดูแล้ง และสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกแห่งหนึ่ง
ทั้งนี้ นายเฉลียว ยืนยันว่า การที่ตนเรียกร้องขอคืนที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้องจากผู้บุกรุกมายาวนานเป็นเวลา 20 ปี ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่ทำเพื่อส่วนร่วมของประชาชนที่ควรได้ใช้ประโยชน์จากบึงวงฆ้องร่วมกัน และที่สาธารณประโยชน์ก็ไม่สูญหายตกไปเป็นสมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวสอบถาม นายสัญญา คงสมบัติ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชัยนาท สาขาหันคา ได้รับคำตอบว่า ขณะนี้กรมที่ดินอยู่ระหว่างดำเนินการเพิกถอนแปลงที่อยู่ด้านในกลางบึง ส่วนแปลงที่อยู่ระหว่างรอยตะเข็บจะต้องทำการรังวัดใหม่ เพราะมีส่วนคาบเกี่ยวกับส่วนที่ต้องถูกเพิกถอน โดยต้องทำแผนที่เป็นรายแปลงส่งไปให้กรมที่ดินอีกครั้งหนึ่ง ยืนยันว่าสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยนาท สาขาหันคา ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการติดต่อประสานงานกับที่ดินหันคา และ อบต.ห้วยงู อยู่ตลอดเวลา
ด้าน นายธีรพล ผลพงษ์ อายุ 36 ปี ชาวนา ต.ห้วยงู หนึ่งในผู้ที่ถูกระบุว่า บุกรุกที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้อง กล่าวว่า ตนซื้อที่ดินผืนนี้มาอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับต่อกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ หากจะมาเพิกถอนเอกสารสิทธิตนก็ไม่ยอมแน่นอน เพราะเวลาไปทำเรื่องซื้อขายที่ดิน ทำไมสำนักงานที่ดินไม่บอกว่าที่ดินตรงนี้จะมีการเพิกถอนเพราะอยู่ในเขตบึง ทำให้ตนซื้อที่ดินมาต้องเป็นหนี้เป็นสิน อยู่ๆ จะเข้ามาเพิกถอนแล้วจะทำกินได้อย่างไร