บุรีรัมย์ - อิทธิพลพายุ “หว่ามก๋อ” ทำฝนตกบุรีรัมย์ติดต่อกันหลายวันประกอบกับน้ำเหนือจากโคราชไหลมาสมทบ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมูลไหลผ่าน อ.สตึก เพิ่มขึ้นเป็นผลดีเกษตรกรเริ่มลงเลี้ยงปลาในกระชังแล้ว หลังประสบภัยแล้งน้ำมูลแห้งขอด ต้องชะลอเลี้ยงขาดรายได้มานานกว่า 6 เดือน
วันนี้ (20 ก.ย.) จากอิทธิพลพายุโซนร้อน “หว่ามก๋อ” ที่ส่งผลให้หลายจังหวัดมีฝนตกติดต่อกันหลายวันช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์ได้รับอิทธิพลจากพายุดังกล่าวเช่นกันมีฝนตกเฉลี่ยร้อยละ 80 ของพื้นที่ ประกอบกับมีน้ำเหนือจากจังหวัดนครราชสีมาไหลมาสมทบ ส่งผลให้ระดับน้ำในลำน้ำมูลที่ไหลผ่านบริเวณ บ.ท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหลืออีกประมาณ 1 เมตรจะถึงคอสะพาน ส่งผลดีต่อเกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงปลาในกระชังที่ บ.ท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก ได้เริ่มลงเลี้ยงปลาในกระชังแล้วกว่า 10 ราย ขณะที่บางส่วนมีการจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อทยอยเลี้ยงปลาในกระชังอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพื่อให้ทันจับขายในช่วงเดือนมกราคม หรือช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ที่มีความต้องการของตลาดเป็นจำนวนมากและมีราคาสูง
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกษตรกรผู้มีอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังบ้านท่าเรือได้ประสบกับภาวะภัยแล้งน้ำมูลแห้งขอดจนมองเห็นตะหม้อสะพานโผล่ และสามารถเดินข้ามฝั่งไปมาได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรต้องชะลอเลี้ยงปลาในกระชังเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน ทำให้ขาดรายได้เฉลี่ยรายละ 200,000-300,000 บาท
ด้านนายสมโภชน์ สกุลทอง อายุ 53 ปี ผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าเรือ ม.7 ต.ท่าม่วง อ.สตึก กล่าวว่า
ปกติชาวบ้านในหมู่บ้านมีอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังกว่า 40 ราย แต่หลังจากประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงน้ำมูลแห้งขอด ทำให้ต้องชะลอเลี้ยงในกระชังทั้งปลานิล และปลาทับทิม เป็นเวลานานกว่า 6 เดือน ทำให้ขาดรายได้เฉลี่ยรายละ 200,000-300,000 บาท แต่ช่วงนี้หลังจากมีฝนตกติดต่อกันหลายวันประกอบกับน้ำเหนือจาก จ.นครราชสีมา ที่ไหลมาสมทบ ทำให้ปริมาณน้ำมูลเพิ่มขึ้นเกษตรกรจึงทยอยเริ่มลงเลี้ยงปลาแล้วกว่า 10 ราย
อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้รัฐบาลได้สร้างฝายหรือเขื่อนยาง เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำมูลไว้อุปโภคบริโภค ทำการเกษตร และเลี้ยงปลาในกระชังได้ตลอดทั้งปีด้วย
