อุดรธานี - กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี โวยรัฐบาลร่วมเหมืองโปแตชมัดมือชกนัดจัดประชาคมในค่ายทหาร จวกผิดหลักการทำประชาพิจารณ์ แฉกลุ่มนายทุนเหมืองแร่ และคนของรัฐเร่งรีบให้เหมืองแร่โปแตชอุดรฯ ผ่านกระบวนการโดยเร็ว เพื่อจะได้ให้ใบประทานบัตรให้เร็วที่สุด เมินกระบวนรับฟังความเห็นจะถูกต้องหรือไม่ ทั้งๆ ที่โครงขนาดใหญ่ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นางมณี บุญรอด กรรมการกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี เปิดเผยว่า วานนี้ (11 ก.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ตนได้รับหนังสือด่วนที่สุดจากทางอำเภอประจักษ์ศิลปาคม เลขหนังสือที่ อด 2018/2737 ลงวันที่ 11 กันยายน 2558 เพื่อเชิญเข้าร่วมเวทีการจัดประชุมเพื่อรับฟังการชี้แจง (การประชาคมหมู่บ้าน) การดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี
โดยเนื้อหาในหนังสือมีใจความว่า จังหวัดอุดรธานี เห็นควรให้มีการจัดประชุมรับฟังการชี้แจงการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ตามคู่มือวิธีปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปี เรื่องการให้ความเห็นในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ พ.ศ.2545 ในวันอังคารที่ 15 กันยายน 2558 เวลา 08.30-12.00 น. ณ สโมสรค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมืองอุดรธานี
เนื้อหาในหนังสือยังระบุด้วยว่า จังหวัดอุดรธานี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี โดยได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง ที่ประชุมได้มีการหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาในวงกว้าง และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ได้เสนอให้มีการจัดเวทีประชุมวิชาการ ซึ่งนอกเหนือจากการดำเนินการคำขอประทานบัตรโครงการตามระเบียบที่กำหนดไว้
ต่อมา จังหวัดอุดรธานีได้มีหนังสือถึงกลุ่มอนุรักษ์ฯ เพื่อสอบถามความพร้อมในการประสานงานนักวิชาการเพื่อเข้าร่วมเวทีประชุมวิชาการ แต่ยังไม่มีการตอบรับจากกลุ่มอนุรักษ์ฯ แต่อย่างใด ซึ่งเวลาล่วงเลยมานานแล้ว จังหวัดอุดรธานี จึงดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณาคำขอประทานบัตร
นางมณี กล่าวว่า ภายหลังได้รับหนังสือเชิญเข้าร่วมประชุมฉบับดังกล่าวแล้ว ทางกลุ่มไม่เห็นด้วยต่อการจัดประชุมครั้งนี้ เพราะการประชาคมหมู่บ้านจะต้องทำในหมู่บ้าน ไม่ใช่ทำกันในค่ายทหารและไม่สนใจกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งมันเป็นการมัดมือชกชาวบ้าน ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐก็เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทโปแตช โดยการนำกำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อส. มาคอยคุ้มกันเวที มันจึงไม่ถูกต้อง ไม่มีความโปร่งใส ดังนั้น เราจึงไม่ยอมรับอำนาจในครั้งนี้ และยืนยันว่าจะต่อสู้ต่อไป
“ถ้าจะทำกันจริงๆ ตามระเบียบบอกไว้ว่าการประชาคมต้องทำในหมู่บ้าน ในชุมชน ต.ห้วยสามพาด และ ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม แต่การประชาคมครั้งนี้ไปทำกันในค่ายทหาร ต.โนนสูง อ.เมืองอุดรธานี ซึ่งอยู่นอกเขต และห่างจากพื้นที่ไปอีกกว่า 10 กม. จึงเป็นการกีดกันการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน” นางมณี กล่าว
นางมณี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้เรียกร้องกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และทหารมาโดยตลอดว่า ให้มีการตรวจสอบการทำประชาคมหมู่บ้าน และการประชุมให้ความเห็นของ อปท.ในพื้นที่อื่นที่มีการดำเนินการไปแล้วก่อน ได้แก่ ต.หนองขอนกว้าง ต.โนนสูง และ ต.หนองไผ่ ในเขต อ.เมืองอุดรธานี ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการ
“ในส่วนของเวทีประชุมวิชาการ ตามที่จังหวัดอุดรธานีทำหนังสือสอบถามมา กลุ่มอนุรักษ์ฯ ก็ได้ส่งหนังสือตอบกลับไปแล้วตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา และมีสำเนาหนังสือยืนยันชัดเจน โดยมีข้อเสนอให้จังหวัดอุดรธานี จัดประชุมคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อวางกรอบเนื้อหา และกำหนดรูปแบบเวทีร่วมกันเสียก่อน แต่จังหวัดก็ไม่ได้ดำเนินการ” นางมณี กล่าว
ด้าน นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนพัฒนาชนบท (กป.อพช.อีสาน) กล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่กลุ่มนายทุนเหมืองแร่ และชนชั้นนำจะเร่งรีบให้เหมืองแร่โปแตชอุดรฯ ผ่านกระบวนการโดยเร็วเพื่อจะได้ให้ใบประทานบัตรออกมาในช่วงนี้
โดยไม่สนใจว่ากระบวนรับฟังความเห็นจะถูกต้องหรือไม่ ทั้งๆ ที่โครงขนาดใหญ่ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาล ไม่ควรที่จะใช้ช่วงเวลานี้อนุมัติควรจะให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมให้มากกว่านี้ เพราะการที่ผู้มีส่วนได้เสียรับรู้ผลกระทบ และความรับผิดชอบต่อโครงการฯ จะทำให้เขาเชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
“เป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่ฟังเหตุผล และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ แม้ว่าการจัดประชาคมหมู่บ้านในครั้งนี้จะผ่านไป ต้องยอมรับว่าความไม่ชอบธรรมที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐทุกๆ ภาคส่วนได้ทิ้งปัญหาเอาไว้ให้แก่ชาวบ้าน และคือภาระของชุมชน” นายสุวิทย์ กล่าว
ในส่วนของ นายสันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ระบุว่า การจัดเวทีประชาคมในครั้งนี้ไม่ได้มีสาระสำคัญในการมีมติของผู้มีส่วนร่วม เนื่องจากว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ทำการแก้ไขระเบียบว่าด้วยการประชาคมใหม่เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า การประชาคมหมู่บ้าน หรือการประชุมให้ความเห็นชอบของ อปท.ไม่จำเป็นต้องมีการลงประชามติ ซึ่งมันก็คือการแก้กฎหมายเพื่อเอื้อให้เหมืองอย่างที่สุด โดยละเลยหลักการส่วนร่วมของประชาชน และการไปทำกันในค่ายทหารด้วย ในทางวิชาการ และทางกฎหมายมันยอมรับไม่ได้ แล้วมันจะเรียกว่าการประชาคมได้อย่างไร
“ควรย้อนกลับไปดูสัญญาระหว่างรัฐบาล กับบริษัทเอกชนที่ทำกันไว้ตั้งแต่ปี 2527 น่าอัปยศมากที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทเอกชนมากมาย โดยเฉพาะบางข้อที่เขียนไว้ว่า โครงการจะไม่ถูกระงับโดยนโยบาย แผนงาน ระเบียบ หรือข้อบังคับ กฎหมายของรัฐ นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโครงการจะต้องดำเนินการให้ได้อยู่ดี สัญญาก็จะอยู่กับเหมืองอย่างน้อยก็ 25 ปี”นายสันติภาพ กล่าวและว่า
ประชาชนก็แทบจะไม่มีสิทธิอะไรเลยตามสัญญาที่ว่าไว้ อันนี้สิ่งที่ประชาชน นักวิชาการ และส่วนราชการควรจะศึกษาเรื่องนี้ให้มาก ไม่ใช่ว่าอยากให้เหมืองเกิดโดยที่ไม่สนใจอะไรเลย