ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หอการค้าเชียงใหม่ผนึกกำลังกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประจำจังหวัดเชียงใหม่ และคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดเชียงใหม่ รุกปราบคอร์รัปชันต่อเนื่อง จัดงาน “Active Citizen พลังพลเมือง ต่อต้านคอร์รัปชั่น”
วันนี้ (31 ส.ค.) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสำนักงานภาคเหนือ หอการค้าเชียงใหม่ร่วมกับ ป.ป.ช. และคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดเชียงใหม่ จัดงาน “Active Citizen พลังพลเมือง ต่อต้านคอร์รัปชั่น” โดยมีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ แสดงปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “พลังพลเมืองต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ในกิจกรรมวันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ ประจำปี 2558 ว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยในปัจจุบันยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งผลกระทบจากปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นได้สร้างความตื่นตัวให้แก่คนในสังคมเป็นอย่างมาก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ทั้งด้านการปราบปรามการทุจริต, การป้องกันการทุจริต, การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนในทุกระดับได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการทุจริตและเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์ โดยให้ประชาชนหรือกลุ่มบุคคลในทุกภาคส่วนเกิดความตระหนักถึงปัญหาผลเสียหายและผลกระทบของการทุจริตร่วมกัน แล้วพร้อมใจกันที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นายปานเทพกล่าวว่า ปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย และทำความเสียหายให้ประเทศในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านการพัฒนาประเทศ, ด้านเศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง รวมไปถึงด้านวัฒนธรรม ซึ่งได้รับผลเสียจากการคอร์รัปชันกันทั้งหมด
ด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยจะต้องสูญเสียงบประมาณภาครัฐส่วนหนึ่งไปกับการทุจริตคอร์รัปชัน หากจะมองให้ชัดเจนคือ ประเทศไทยมีงบประมาณในการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างให้แก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจปีละไม่ต่ำกว่า 9 แสนล้านบาท แต่ปรากฏว่าประเทศไทยได้สูญเสียเงินไปกับการทุจริตคอร์รัปชันในแต่ละปีจำนวน 2 แสนล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินส่วนนี้ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก หากนำงบประมาณส่วนนี้มาพัฒนาประเทศก็จะทำให้ประชาชนในประเทศได้รับผลประโยชน์และมีวิถีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
นายปานเทพกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมประเทศในกลุ่มอาเซียนจากสมาชิก 10 ประเทศพบว่าส่วนใหญ่มีจำนวนถึง 8 ประเทศ มีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันของโลก ดังนั้น ประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนจะต้องร่วมมือกัน และใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดที่จะมาแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังพบว่าปัญหาการทุจริตยังมีอยู่มากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สถาบันการเงินของไทยถูกลดความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก และส่งผลให้การทำธุรกรรมทางการเงินในระดับนานาชาติจะยากขึ้น เพราะไม่มีความน่าเชื่อถือและยังจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาประเทศด้วย
