พิจิตร - ชาวนาในโครงการข้าวปลอดสารเมืองชาละวันได้ผลจริง ลดต้นทุนเหลือไร่ละ 1,300 บาท ฝ่าแล้ง-นก-หนูจนเก็บเกี่ยวได้แล้ว โรงสีตีราคาข้าวสดให้ตันละ 8 พันบาทไม่ขาย เตรียมตาก สี บรรจุถุงขายเอง เชื่อได้เงินมากกว่าถึงตันละ 12,000 บาท
วันนี้ (3 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการส่งเสริมให้ชาวนาพิจิตรลดต้นทุนการผลิต เลิกใช้สารเคมี หันมาใช้จุลินทรีย์จากธรรมชาติ ที่นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าฯ จัดงบสนับสนุนให้ปราชญ์ชาวบ้านร่วมสอนวิธีการทำสารจุลินทรีย์จากปลวก น้ำหมักชีวภาพ สมุนไพรไล่แมลง สมุนไพรคลุมหญ้า โดยมีชาวนาต้นแบบกว่า 300 คนเข้าร่วมโครงการ เริ่มปรากฏผลเชิงประจักษ์แล้ว
ล่าสุด นางใบ-นายปัญญา สอนสุข อยู่บ้านเลขที่ 21/22 บ้านนิคม หมู่ 7 ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร หนึ่งในสมาชิกโครงการ บอกว่า เธอและสามีทำนาปรัง 10 ไร่ ลงมือปลูกข้าวเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2558 โดยใช้พันธุ์ข้าวที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์จากปราชญ์ชาวบ้าน ที่นำข้าวปทุมธานี 1 ผสมกับข้าวหอมมะลิ 105 เป็นพันธุ์ข้าวที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า “ข้าวหอมปทุมเทพ” ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ เมื่อนำไปสีเป็นข้าวสารแล้วหุงเป็นข้าวสุกจะมีกลิ่นหอม เนื้อนุ่ม กินอร่อย ปลูกข้าวด้วยความใส่ใจยืนยันว่าไม่เคยใช้สารเคมีเลย ส่วนปุ๋ยก็ใช้ขี้จิ้งหรีด
นางใบบอกว่า ตอนนี้ต้นข้าวอายุครบ 120 วันพอดี จึงได้ลงมือเก็บเกี่ยว ปรากฏว่านา 10 ไร่ได้ข้าว 4,700 กก. ซึ่งถือว่าได้ข้าวน้อยเพราะเจอภัยแล้ง นก หนูที่ต่างมารุมกินข้าวในแปลงนา เนื่องจากพื้นที่ข้างเคียงไม่ได้ทำนาปรังจึงทำให้นาของตนกลายเป็นแหล่งอาหารของนกและหนู อีกทั้งไม่ได้ใช้สารเคมีฆ่าสัตว์เหล่านี้ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จึงได้ผลผลิตที่ไม่มากนัก แต่คุณภาพของข้าวในแต่ละต้นในแต่ละรวงเป็นที่น่าพอใจ คือ เมล็ดเต่งเต็ม น้ำหนักดี
นางใบ และนายปัญญาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า การทำนาตามโครงการข้าวอินทรีย์ทำให้เราคิดเป็น ปฏิบัติได้จริง ต้นทุนทำนามีน้อยมาก คือนา 10 ไร่ลงทุนค่ารถไถนาไร่ละ 220 บาท เป็นเงิน 2,200 บาท ค่ารถทำเทือกนาไร่ละ 200 บาท เป็นเงิน 2,000 บาท ค่าเมล็ดพันธุ์ตกกล้าเพื่อดำนา 20 กก. เป็นเงิน 400 บาท ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสูบน้ำบาดาลทั้ง 10 ไร่ เป็นเงิน 5,500 บาท ซื้อปุ๋ยขี้จิ้งหรีด 20 กระสอบ รวมเป็นเงิน 600 บาท ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวไร่ละ 450 บาท เป็นเงิน 4,500 บาท ส่วนค่าดำนาไม่ต้องเสียเงิน เพราะใช้วิธีลงแขกดำนา รวมต้นทุนในการทำนาครั้งนี้ 13,000 บาท เฉลี่ยเพียงไร่ละ 1,300 บาทเท่านั้น
ซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วได้ข้าวทั้งหมด 4,700 กก. จึงเก็บไว้เพื่อจะสีเป็นข้าวสารกิน และเก็บไว้เป็นพันธุ์ข้าวปลูก 500 กก. อีก 4,200 กก. ได้นำไปให้โรงสีใกล้บ้านตีราคาได้ตันละ 8,000 บาท ในราคาข้าวสด ตนจึงตัดสินใจจะไม่ขายข้าวเปลือกปลอดสารเคมี แต่จะนำไปสีเป็นข้าวสารบรรจุถุงขายให้ผู้ที่รักสุขภาพ ซึ่งจะได้เงินมากกว่า
โดยได้นำข้าวไปตากที่โรงสีชุมชน ต.หนองโสน ซึ่งจะต้องเก็บข้าวเปลือกไว้ 1 เดือน เพื่อให้ข้าวคืนตัว จากนั้นก็จะนำไปสีเป็นข้าวสารบรรจุถุงขาย ซึ่งจะทำให้มีรายได้ถึง 60,000 บาท หรือคิดเป็นราคาข้าวตันละ 12,000 บาทเศษ ซึ่งดีกว่าขายข้าวเปลือกให้เถ้าแก่โรงสีเป็นไหนๆ และสามารถอยู่ได้ในภาวะที่ไม่มีโครงการรับจำนำข้าวจากรัฐบาล เพราะลดต้นทุนการผลิตและขายเป็นข้าวสารไม่ขายเป็นข้าวเปลือกให้เถ้าแก่โรงสี
สำหรับผู้ที่สนใจต้องการสั่งซื้อข้าวคุณภาพดีดังกล่าว ที่จะขายในราคา กก.ละ 30 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง) สามารถสั่งจองและติดต่อขอซื้อได้ที่โทร. 08-8814-5409, 08-8419-6345 ถ้าซื้อในปริมาณมากจะมีส่วนลดให้เป็นพิเศษอีกด้วย