พัทลุง - ชาวนาในจังหวัดพัทลุง ใช้พื้นที่ริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลาปลูกข้าวระยะสั้นไว้เลี้ยงชีพ เผยรับช่วงต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษกว่า 40 ปีแล้ว คาดเป็นวิถีการทำนาแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทย
วันนี้ (29 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านที่มีอาชีพประมงริมทะเลสาบสงขลา ฝั่งจังหวัดพัทลุง ท้องที่ ม. 8 ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตออกเรือหาปลาเป็นอาชีพหลัก และมีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ ซึ่งแต่ละรายมีที่ดินสำหรับเพาะปลูกน้อยมาก จึงคิดค้นหาวิธีการเพาะปลูกพืชในทะเลสาบ หรือริมฝั่งทะเลสาบ เพื่อเป็นผลผลิตเลี้ยงครอบครัวมายาวนาน โดยใช้พื้นที่ริมชายฝั่งทะเลสาบที่ทอดยาวกว่า 9 กิโลเมตร และถ่ายทอดความรู้วิธีการปลูกข้าวในทะเลสาบมาจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งใช้วิกฤติช่วงน้ำทะเลสาบลดลงปลูกข้าวระยะสั้นไว้เลี้ยงชีพและคาดว่าการทำนาข้าวแบบนี้มีแห่งเดียวในประเทศไทย
นางเอียด ทองช่วย อายุ 56 ปี บ้านเลขที่ 126 ม. 8 ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษถึงวิธีการทำนาข้าวในทะเลสาบ บอกว่า ตนทำนาข้าว จำนวน 2 ไร่ บริเวณแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว และยังมีเพื่อนบ้านอีกจำนวนหลายครัวเรือนทำนาข้าวบริเวณแห่งนี้รวมแล้วเกือบ 200 ไร่ ตามแนวยาวริมฝั่งทะเลสาบของหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร แต่พื้นที่ตลอดแนวริมทะเลสาบที่ทำนาข้าวได้มีความยาวทั้งหมดประมาณ 9 กิโลเมตร โดย 1 ปี สามารถทำนาข้าวได้ 1 ครั้ง คือ การทำข้าวนาปรัง โดยเริ่มปักดำตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน และจะเก็บเกี่ยวผลผลิตปลายเดือนกันยายนของทุกปี ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนครึ่งในการทำนาแต่ละครั้ง
ซึ่งในช่วงดังกล่าวน้ำในทะเลสาบลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนจากเทือกเขามีปริมาณน้อย หากเกินเวลาจะไม่ได้รับผลผลิต เนื่องจากน้ำทะเลจะหนุนสูงท่วมต้นข้าวเน่าเปื่อย เสียหาย โดยในช่วงนี้สามารถทำนาข้าวได้เพราะทะเลสาบไม่มีคลื่นลม เรียกว่า ช่วงลมพลัด โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน ในช่วงเดือนกันยายนนั้น เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวพอดี และจะต้องเก็บเกี่ยวให้เสร็จด้วย เพราะหลังจากเดือนกันยายนแล้วจะเข้าสู่ช่วงลมนอก ทะเลสาบสงขลาจะมีคลื่นลมแรง หากเก็บเกี่ยวไม่เสร็จข้าวจะเสียหายหมด
วิธีการเพาะปลูกนั้นต้องหาพันธุ์ข้าวที่มีลำต้นแข็งแรง มีรากลึก และต้นข้าวเมื่อเจริญเติบโตแล้วต้องมีความสูง สามารถต้านต่อสภาพแรงลม และคลื่นขนาดเล็กที่ซัดเข้าหาฝั่งได้ ดังนั้น จึงนิยมใช้พันธุ์ข้าว กข 33 และพันธุ์ข้าวหอมปทุม การทำนาข้าวในทะเลสาบนั้นไม่ต้องเตรียมแปลงนาข้าวบริเวณเพาะปลูก ไม่ต้องไถคราด เนื่องจากดินในทะเลสาบมีลักษณะเป็นโคลนตมเหมาะแก่การปลูกข้าว ข้าวส่วนใหญ่แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่น้ำไม่จม ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ อีกส่วนที่จมน้ำ ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์
ขั้นตอนนำเมล็ดพันธุ์ข้าวหว่าน เพื่อเพาะต้นกล้าให้มีความยาวสูงประมาณ 40-45 เซนติเมตร แล้วนำต้นกล้าปักดำโดยใช้ต้นกล้า 5-6 ต้น ต่อ 1 กอ ปักดำให้ลึกลงในดินประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อให้มีความแข็งแรงต่อคลื่นขนาดเล็กที่พัดเข้าหาต้นกล้าจะไม่ให้หลุดลอยขึ้นมา และปักดำจนเต็มแปลง สำหรับการดูแลรักษานั้นไม่ยุ่งยาก และไม่เปลืองเงิน ไม่ต้องลงทุน เนื่องจากการทำนาข้าวในทะเลสาบนั้น ไม่ต้องใช้ปุ๋ย ไม่ต้องไถนา และไม่ต้องใช้ยากำจัดวัชพืช และบริเวณพื้นที่ทำนาข้าวนั้นจะมีแร่ธาตุจากธรรมชาติทับถมอยู่แล้วจากตะกอนที่ถูกพัดพามาจากท้องทะเลสาบนั่นเอง
นางเอียด ยังกล่าวอีกว่า ที่สำคัญมีน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าวตลอดฤดูกาลทำนา เพราะการขึ้นลงของน้ำในทะเลสาบ ซึ่งได้รับผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยคุ้มค่าต่อการลงทุน นอกจากนั้นแล้ว เมื่อต้นข้าวเจริญเติบโตยังเป็นแหล่งอาศัยของจำพวก กุ้ง หอย ปู ปลา ขนาดเล็กอีกด้วย ส่วนปริมาณข้าวจะได้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ชาวนาริมทะเลสาบสงขลาไม่ต้องซื้อข้าวกิน และบางรายยังเหลือสามารถนำไปขายได้ด้วย