พิจิตร - ตำรวจเมืองชาละวัน ตามรวบสาวแสบอดีตพนักงานบัญชีบริษัทรอง ปธ.สภา อบจ.-นักธุรกิจใหญ่พิจิตร ทำงานได้ 4 เดือนแล้วลาออก พร้อมฉกสมุดเช็คไปด้วย 2 เล่ม ก่อนปลอมลายเซ็นฉกเงินไป 18 ครั้ง สอบประวัติพบเปลี่ยนชื่อ 3 รอบ แถมบินไปเกาหลีศัลยกรรมใบหน้ามาแล้ว ขณะที่แบงก์กรุงไทยยังนิ่งไม่มีขยับแจ้งความใดๆ
วันนี้ (8 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี นายพิศ วิริยะอารีธรรม รองประธานสภา อบจ. นักธุรกิจรายใหญ่พิจิตร เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไชยแสน พงส.ผทค.สภ.เมืองพิจิตร และ พ.ต.ท.วิชัย นิลสิงห์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิจิตร กรณีเงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงไทยสาขาพิจิตร ได้หายไปจากบัญชีกว่า 6 ล้านบาท
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิจิตรได้ติดตามจับกุมผู้ที่ก่อเหตุขโมยเงินในบัญชีนายพิศได้แล้ว คือ น.ส.กัญญ์ณณัฐ อยู่บุญ หรือ “มด” อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/1 ถนนนอกทางรถไฟ อ.เมือง จ.พิจิตร อดีตพนักงานบัญชีของ ส.จ.พิศ โดยได้ขโมยสมุดเช็คไป 2 เล่ม จากนั้นได้ปลอมแปลงลายเซ็นแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารกรุงไทย สาขาราษฎร์เกษมอุทิศ และสาขาสากเหล็ก ถึง 18 ครั้ง ได้เงินไป 6,310,000 บาท
จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.กัญญ์ณณัฐ อยู่บุญ หรือ “มด” มาสมัครงานเป็นพนักงานบัญชีของ บริษัท พ.วิริยะก่อสร้าง จำกัด ของนายพิศ เข้าทำงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 หลังทำงานได้เพียง 4 เดือนก็ลาออก จากนั้นได้ฝึกปลอมลายเซ็นนายพิศ แอบเขียนเช็คให้ตัวเองไปถอนเงินที่ธนาคารกรุงไทยพิจิตรสาขาราษฎร์เกษมอุทิศจำนวน 14 ฉบับ เป็นเงิน 5,190,000 บาท และปลอมลายเซ็นไปถอนเงินที่ธนาคารกรุงไทยพิจิตร สาขาสากเหล็ก จำนวน 4 ฉบับ เป็นเงิน 1,120,000 บาท รวมแล้ว 18 ฉบับ ภายในระยะเวลา 8-9 เดือน
นายพิศ วิริยะอารีธรรม รองประธานสภา อบจ.พิจิตร ผู้เสียหาย บอกว่า ได้ไปสืบค้นประวัติ น.ส.กัญญ์ณณัฐ พบว่าชื่อเดิมคือ น.ส.สิริรัตน์ อยู่บุญ เลขบัตรประจำตัวประชาชน 3-6697-00067-55-5 เกิดเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2522 จากนั้น พ.ศ. 2550 ก็ไปเปลี่ยนชื่อเป็น น.ส.ภัคธีมา อยู่บุญ, พ.ศ. 2552 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น น.ส.ชนานันท์ อยู่บุญ และครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2553 ก็ได้ไปเปลี่ยนชื่อเป็น น.ส.กัญญ์ณณัฐ อยู่บุญ หรือ “มด”
หลังจากที่ได้เงินคราวละ 300,000-500,000 บาท ผู้ต้องหาก็เอาเงินที่ได้ไปซื้อบ้าน ซื้อรถ เปิดร้านกาแฟสด ท่องเที่ยวต่างประเทศ และใช้อย่างฟุ่มเฟือยเหมือนสาวไฮโซ โดยอ้างว่าแม่แบ่งมรดกให้บ้าง ขายที่ได้บ้าง เคยบินไปประเทศเกาหลีเพื่อทำศัลยกรรมใบหน้าด้วย
ด้าน พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไชยแสน พงส.ผทค.สภ.เมืองพิจิตร กล่าวถึงรูปคดีว่า พนักงานสอบสวนได้เร่งทำสำนวนในความผิดครั้งแรกได้หลักฐานที่ถูกปลอมลายเซ็นส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่กองพิสูจน์หลักฐานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิสูจน์แล้ว แต่ยังมีเช็คที่ถูกปลอมลายเซ็นอีก 13 ใบ ซึ่งขณะนี้หลักฐานดังกล่าวอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่
ต่อมาตำรวจพิจิตรก็ได้ออกหมายเรียกให้นำเช็คตัวจริงที่ถูกปลอมแปลงลายเซ็นมาตรวจเช่นเดียวกับคดีแรก แต่ปรากฏว่าไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ เป็นผู้เสียหายทั้งทางแพ่ง และทางอาญา เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ ส.จ.พิศไม่สามารถเบิกเงินจำนวน 6 ล้านบาทเศษที่ฝากไว้กับธนาคารฯออกมาใช้จ่ายได้ ซึ่งในแง่ของธุรกิจ ส.จ.พิศต้องเดือดร้อนแน่นอน
พ.ต.อ.สุรเชษฐ์แสดงความเห็นด้วยว่า ขนาดผู้เสียหายเป็นถึงรองประธานสภา อบจ.พิจิตร และเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ ยังเรียกร้องหาความเป็นธรรมจากธนาคารได้ยาก นี่ถ้าหากเป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ถ้าเจอแบบนี้คงจะนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่นอน
จึงอยากฝากให้สังคมพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าวใครคือผู้กระทำผิดที่ต้องควรรับผิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ นับตั้งแต่ ส.จ.พิศนำเงินไปเปิดบัญชีและฝากกับธนาคารกรุงไทย เงินก็ต้องตกเป็นของธนาคาร แต่เมื่อผู้ฝากทรัพย์ต้องการเบิกถอนและขอคืน ผู้รับฝากต้องคืนให้โดยทันที
ส่วนในเรื่องของคดีอาญา การที่ธนาคารเป็นผู้เสียหายเพราะถูก น.ส.กัญญ์ณณัฐ อยู่บุญ หรือ “มด” มาทำการหลอกลวง โดยการปลอมแปลงลายมือชื่อของ ส.จ.พิศ แล้วมาถอนเงินออกไปนั้น ธนาคารต้องเป็นโจทก์ดำเนินคดี แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่คนที่เดือดร้อนคือ ส.จ.พิศ ที่ไม่สามารถถอนเงินของตัวเองออกมาใช้จ่ายได้