ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์” อดีต ปธ.กก.วัดบ้านไร่ ลั่นพร้อมให้ตรวจสอบสร้างวัดบ้านไร่ 2 และรูปหล่อพ่อคูณใหญ่สุดในโลก อ.วังน้ำเขียว เผยใช้งบกว่า 100 ล้าน ทุกบาทมาจากบารมีหลวงพ่อ ยอมรับเซ็นใบอนุญาตสร้างวัตถุมงคลวัดบ้านไร่ร่วม 100 ใบๆ ละ 2-3 ล้าน นำเงินมาสร้างวัดทุกบาท ย้ำเงินสร้าง “วิหารเทพวิทยาคม” ไม่ใช่หนี้วัด ชี้ “เกรียงไกร” ศรัทธาแรงหวังได้เงินทุนคืนจากการบริหาร ระบุไม่เคยรู้จัก “พระนุช” รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่คนใหม่
วันนี้ (31 พ.ค.) ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีย์ (ย่าโม) ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ อดีตประธานคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า เงินก่อสร้างวัดบุไผ่ หรือวัดบ้านไร่ 2 และ สร้างรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตัก 9 เมตร สูง 18 เมตร ที่ ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นบารมีของหลวงพ่อคูณ โดยแท้จริงทำให้ได้เงินมาก่อสร้าง โดยมีผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่บริจาคเงินให้ ซึ่งในการจัดสร้างทั้งหมดใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 100 ล้านบาท
ส่วนเงินส่วนตัวของหลวงพ่อคูณ ท่านบริจาคมาให้ประมาณ 3-5 ล้านบาท เนื่องจากเงินก่อสร้างช่วงนั้นขาดจึงเอามาใช้ และช่วงหลังประมาณ 1-2 ปี ที่ผ่านมา ได้นำเงินค่าใบอนุญาตสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อคูณ ใบละ 2-3 ล้านบาท นำมาก่อสร้างด้วย แต่เงินค่าใบอนุญาตนี้ไม่ได้บังคับแล้วแต่จิตศรัทธา ซึ่งขณะนี้ได้มีการเซ็นใบอนุญาตไปแล้ว ร่วม 100 ใบ
พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ กล่าวอีกว่า หากคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินพระเทพวิทยาคมและวัดบ้านไร่ ที่ พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา แต่งตั้งขึ้น จะเข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ของวัดบ้านไร่ 2 อ.วังน้ำเขียว ตนก็พร้อมให้ตรวจสอบ เพราะมีใบเสร็จรับเงินจ่ายเงินทุกรายการเพราะทุกอย่างได้ทำบัญชีไว้ทั้งหมดแล้ว หากจะไปดูก็ให้ไปดูที่วัดบ้านไร่ 2 ได้ ตนคงไม่ส่งไปให้ดู อยากดูก็ไปที่วัดได้เลย
ในส่วนของวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด นั้น โดยส่วนตัวตนไม่ได้ถือเอกสาร หรือบัญชีรายการทรัพย์สินใดๆ ของทางวัด ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการระดับล่างลงมาที่รับผิดชอบ แต่ทุกเรื่องต้องผ่านเข้าที่ประชุมคณะกรรมการวัดบ้านไร่ โดยที่ผ่านมาจากเดิมที่ไม่มีระบบ คณะกรรมการฯ ชุดของตน ก็มาทำให้เป็นระบบ มีการประชุมรายงานรายรับรายจ่ายทุกเดือน รวมถึงเรื่องเงินที่ นายเกรียงไกร จารุทวี ระบุว่าได้ทดรองจ่ายเป็นค่าก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคม ไปก่อน รวมกว่า 100 ล้านบาท ก็ได้มีการนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการวัดบ้านไร่ มาโดยตลอด และที่ประชุมรับทราบ กรรมการทุกคนก็ลงนามรับทราบ
ส่วนเงินดังกล่าวจะเป็นหนี้สินของวัดบ้านไร่หรือไม่นั้น พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่หนี้ของวัดบ้านไร่ ซึ่ง นายเกรียงไกร เป็นผู้มีจิตศรัทธาแรงกล้า ตนยังเคยบอกว่า คนจิตปกติไม่กล้าทำ ต้องคนที่มีใจรักหลวงพ่อคูณจริงๆ ถึงกล้าทำ เรียกว่าเกือบบ้า ไม่บ้าก็เกือบบ้า ถือเป็นผู้เสียสละมาก เขามีธุรกิจมากหมายแต่มาเฝ้าทำให้ และไม่จำเป็นที่วัดบ้านไร่ต้องคืนเงินให้ เป็นหน้าที่ของนายเกรียงไกร ที่จะไปบริหารวิหารเทพวิทยาคมหารายได้ เข้ามาและเอาคืนไป ซึ่งขณะนี้การดำเนินการวิหารเทพวิทยาคม กำลังจะเข้าที่เข้าทางแล้ว ผู้คนมาเที่ยวชมก็จ่ายเงินจะได้นำไปชดเชยและสักวันหนึ่งก็จบ
กรณีหากมีการเปลี่ยนคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่เข้ามาจะให้นายเกรียงไกรบริหารวิหารเทพวิทยาคมต่อหรือไม่ นั้น พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบแล้วแต่ผู้ใหญ่ที่จะว่ากันไป ส่วนตนเองหมดหน้าที่แล้ว สบายใจแล้ว ซึ่งนายเกรียงไกรเองก็ไม่ได้หวังที่ทางวัดจะนำเงินมาคืนให้ ก็มาหวังจะได้คืนตอนบริหารจัดการที่มีคนมาเที่ยวชม แต่จะใช้เวลากี่ปีกี่วันก็ไม่ทราบแล้วแต่อนาคต แต่ไม่มีอะไรมาฟ้องร้องวัด ซึ่งตนสนิทกับ นายเกรียงไกร คบกันมานานแล้วรู้นิสัยดี และ กิจการนายเกรียงไกร ก็มีมาก ใหญ่โต
พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ กล่าวถึงคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่ในอนาคต ว่า ทุกคนรักหลวงพ่อคูณทั้งนั้น แต่จะมาในแนวไหน บางคนก็วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง อยู่ที่เจตนา แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์การกระทำว่าคุณเป็นของจริงหรือไม่ ถ้าบอกว่าตัวเองดี ทั้งหมดเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
ส่วนการแต่งตั้งพระภาวนาประชานารถ (นุช รัตนวิชโย) รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่นั้น พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้จัก เพราะตอนที่เข้าไปก็มีแต่คณะกรรมการที่บริหารกันอยู่และพระลูกวัดไม่กี่รูป แต่คณะกรรมการชุดใหม่รวมถึงรักษาการแทนเจ้าอาวาสที่เข้ามาใหม่นั้น ตนไม่รู้จักได้ยินแต่ชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ให้ความเห็นไม่ได้ ซึ่งหลวงพ่อคูณท่านมีเมตตาสูง ไม่เคยพูดถึงข้อขัดแย้งให้ฟังแต่อย่างใด