ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “พระนุช” รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ไม่เข้าร่วมประชุมนัดแรกกับ กก.ตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ ที่รองเจ้าคณะจังหวัดฯนั่งหัวโต๊ะ เผยมติมอบไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ พร้อมคณะกรรมการวัดไปสำรวจรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ระบุแยกทรัพย์สินเป็น 6 หมวด และเร่งตรวจสอบให้เสร็จสมบูรณ์ตามแผน 3 ระยะ
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (25 พ.ค.) ที่ศาลาการเปรียญวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ และทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ โดยมีคณะกรรมการฯ ทั้งฝ่ายบรรพชิต และฝ่ายคฤหัสถ์ที่แต่งตั้งโดย พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เดินทางมาเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ยกเว้นพระภาวนาประชานาถ (นุช รัตนวิชโย) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ในฐานะรองประธานกรรมการฯ ที่ไม่ได้มาเข้าร่วมประชุม และมีประชาชนชาว อ.ด่านขุนทด เข้ามาร่วมสังเกตการณ์กว่า 100 คน
ในวาระแรกประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ ก่อนเปิดโอกาสให้กรรมการแต่ละคนได้เสนอแนวทางขอบเขตการตรวจสอบทรัพย์สิน และให้คณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดเดิมได้แจ้งข้อมูลในส่วนที่ตัวเองเกี่ยวข้อง และรับทราบรายงานต่อที่ประชุมในเบื้องต้น โดยทุกคนยินดีให้ความร่วมมือในการตรวจสอบทรัพย์สิน และพร้อมที่จะนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงต่อคณะกรรมการ
พระราชสีมาภรณ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ทรัพย์สินทุกอย่างทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ของวัดบ้านไร่ และของหลวงพ่อคูณ หลังมรณภาพแล้วต้องตกเป็นของวัดบ้านไร่ทั้งหมด และการที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ ลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่การมาจับผิดใคร เพียงแต่มารับทราบรายละเอียดทรัพย์สินของพระเทพวิทยาคม และวัดบ้านไร่ เพื่อนำชี้แจงให้ประชาชนและสาธารณชนได้รับทราบ พร้อมสรุปผลรายงานต่อเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ
รวมทั้งคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการปกครอง และบริหารจัดการภายในวัดบ้านไร่แต่อย่างใด แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของรักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ที่คณะสงฆ์ทำการแต่งตั้งไปแล้ว
โดยการประชุมใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง เสร็จสิ้นเวลา 11.00 น. และ มอบหมายให้ นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผู้อำนวยการพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้แถลงผลการประชุมต่อสื่อมวลชน และมีอำนาจหน้าที่ในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่เพียงผู้เดียว
นายบัญชายุทธ เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการกำหนดแนวทาง และกรอบการทำงานของคณะกรรมการฯ ที่แต่งตั้งโดย พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา และที่ประชุมมีมติมอบให้รักษาการไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ พร้อมด้วยคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ไปหารือกับ พระภาวนาประชานาถ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ดำเนินการสำรวจรวบรวมรายละเอียดทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ และของหลวงพ่อคูณทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน คือ ภายในวันที่ 24 มิ.ย. 2558 นี้
ทั้งนี้ เพื่อรายงานผลต่อคณะกรรมการฯ และติดประกาศให้สาธารณชนรับทราบ หากมีผู้ใดทักท้วง หรือมีผู้แจ้งทรัพย์สินเพิ่มเติมอาจขอเวลาสำรวจเพิ่มเติมดังกล่าวอีก 7 วัน หรือ 15 วัน จากนั้นหากไม่มีใครทักท้วง หรือสำรวจเพิ่มเติมเสร็จสิ้นแล้ว จะสรุปบัญชีทรัพย์สินต่อที่ประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อทำรายงานเสนอให้เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ พร้อมประกาศต่อสาธารณชนให้รับทราบเป็นการทั่วไป
นายบัญชายุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการตรวจสอบทรัพย์สินนั้นให้แยกออกเป็นหมวดหมู่มีทั้งสิ้น จำนวน 6 หมวด ประกอบด้วย 1.หมวดเกี่ยวข้องกับอาคารสถานที่ 2.หมวดที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของวัด 3. หมวดที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ 4.หมวดที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของมีค่า แยกเป็นของวัดบ้านไร่ และของหลวงพ่อคูณ 5.หมวดการเงิน แบ่งเป็นบัญชีวัดบ้านไร่ บัญชีมูลนิธิในส่วนของวัด บัญชีในส่วนของหลวงพ่อคูณ ทั้งที่อยู่ในวัด และบัญชีมอบเป็นทุนการศึกษาของคณะสงฆ์ และ 6.หมวดอื่นๆ
ส่วนกรอบระยะเวลาตรวจสอบทรัพย์สินได้กำหนดไว้ 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 วันนี้ (25 พ.ค.) คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ ประชุม นำแนวทางชี้แจงทรัพย์สิน และกำหนดกรอบระยะเวลาให้กรรมการวัดบ้านไร่ รักษาการไวยาวัจกร ทราบ และถือปฏิบัติ โดยมอบหมายให้รักษาการไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ กรรมการวัดบ้านไร่ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้แทนฝ่ายสงฆ์ 3 รูปที่ได้รับแต่งตั้งไปหารือกับรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ (พระภาวนาประชานาถ) ในการสำรวจรวบรวมทรัพย์สินวัดบ้านไร่ และทรัพย์สินหลวงพ่อคูณทั้งหมด เพื่อเสนอคณะกรรมการฯ ที่เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา แต่งตั้ง ภายใน 30 วัน คือ วันที่ 24 มิ.ย.นี้
ระยะที่ 2 รักษาการไวยาวัจกรวัด และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เสนอรายการทรัพย์สินทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ต่อคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ และเมื่อคณะกรรมการฯ รับทราบ แล้ว จะติดประกาศต่อสาธารณชนเป็นระยะเวลา 30 วัน ทั้งนี้ อาจมีการแต่งตั้งอนุกรรมการเมื่อจำเป็น หรือเมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องตรวจสอบทรัพย์สินในเชิงลึก ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาช่วยเหลือ โดยทางวัดบ้านไร่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ระยะที่ 3 คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า รายการทรัพย์สินเป็นปกติจะดำเนินการสรุปเสนอต่อเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ และแถลงต่อสาธารณชน ซึ่งถือว่าการตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จสิ้นสมบูรณ์ พร้อมมอบให้เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่และคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่บริหารจัดการต่อไป แต่หากมีผู้ทักท้วง หรือแจ้งทรัพย์สินเพิ่มเติม ก็ต้องขอเวลาต่อคณะกรรมการฯ ดำเนินการต่อเป็นเรื่องๆ ไปจนเสร็จสิ้น