ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “คีรีมายา” ดิ้นหนีตาย กรณีผุดรีสอร์ต บ้านพัก และสิ่งก่อสร้างอื่นบนที่ดินเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง กว่า 1,000 ไร่ ผิดวัตถุประสงค์โดยไม่ขออนุญาตจากอธิบดี เผยดอดหารือนิคมฯ เพื่อขอข้อมูลการแจ้งเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินจากเดิมให้เฉพาะทำเกษตร แฉผลตรวจสอบยัน “คีรีมายา” ไม่เคยขออนุญาต ยกเว้นเจ้าของเดิมขอเปลี่ยนเป็นสนามกอล์ฟ ระบุมีโทษทั้งจำคุกและปรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีชุดปฏิบัติการพิเศษกระทรวงยุติธรรม นำโดย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.อ.สมหมาย บุษบา หัวหน้าคณะทำงานเพื่อความมั่นคงกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 2 และคณะ ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบแปลงที่ดินโครงการบริษัท คีรีมายา จำกัด ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ทั้งหมด 1,696 ไร่ พบอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง 1,052 ไร่ อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) 644 ไร่ และในจำนวนนี้มีการบุกรุกทับร่องน้ำสาธารณประโยชน์ 163 ไร่ และทับทางสาธารณะ 48 ไร่ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น
ล่าสุดวันนี้ (11 พ.ค. 58) แหล่งข่าวระดับสูงในนิคมสร้างตนเองลำตะคอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับการประสานจากผู้บริหารคีรีมายาเข้ามาหารือกับทางนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ในกรณีการแจ้งขอแก้ไขวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่เดิม ซึ่งทางนิคมฯ ได้ให้รายละเอียดต่างๆ ไปแล้ว และจากการตรวจสอบเบื้องต้นทางคีรีมายายังไม่เคยมาขออนุญาตในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์เลย
สำหรับที่ดินของนิคมสร้างตนเองฯ นั้น แม้จะมีการจัดสรรให้แก่ประชาชนที่เข้าหลักเกณฑ์ โดยมอบให้เป็น น.ค. 3 และหลังถือครองได้ครบ 5 ปี สามารถนำไปออกเป็นโฉนดที่ดินได้ แต่การใช้ประโยชน์จากที่ดินก็ยังต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เดิมของนิคมฯ คือ ทำการเกษตร หากต้องการเปลี่ยนก็ต้องยื่นขอจากอธิบดีให้ลงนามอนุญาต จึงจะนำไปดำเนินการทำอย่างอื่นได้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบย้อนหลังก่อนที่คีรีมายาจะเข้ามาซื้อกิจการของสนามกอล์ฟเขาใหญ่ ผู้ประกอบการรายเดิมได้มีการขอเปลี่ยนวัตถุประสงค์มาเป็นสนามกอล์ฟ และได้รับอนุญาตจากอธิบดีแล้วบางส่วน แต่พื้นที่ส่วนอื่นๆ ของคีรีมายาที่นำมาทำ ทั้งเป็นรีสอร์ต บ้านพัก รวมถึงสิ่งก่อสร้างอื่นที่ไม่ใช่ทำการเกษตร ยังไม่ได้มีการขออนุญาตทั้งสิ้น ฉะนั้นจะต้องดูว่าพื้นที่เหล่านี้มีมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากชุดปฏิบัติการพิเศษกระทรวงยุติธรรมลงตรวจสอบพื้นที่ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานรัฐไปหาข้อมูลในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ แต่ไม่ได้มอบหมายให้หน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพดำเนินการ ปัญหาขณะนี้คือไม่มีหน่วยงานลงไปตรวจวัดพิกัดที่แท้จริงของโครงการคีรีมายา เพื่อจะได้ทราบว่ามีที่ดินที่อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคองมากน้อยเท่าไร และอยู่ในเขต ส.ป.ก.เท่าไร เพียงแต่รับทราบข้อมูลเบื้องต้นจากทีมงาน พ.อ.สมหมาย ที่นำมาอธิบายในที่ประชุมเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกรณีของโบนันซ่า ที่ทาง ส.ป.ก.เป็นเจ้าภาพในการตรวจวัดพิกัดขอบเขตพื้นที่บุกรุกอย่างชัดเจน
ฉะนั้น ถึงวันนี้จึงยังตอบไม่ได้ว่าที่ดินของนิคมสร้างตนเองฯ ที่ทางคีรีมายาครอบครองอยู่มีจำนวนเท่าใด เพื่อที่จะได้ตรวจสอบต่อไปว่ามีการขอเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ให้ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าเบื้องต้นทางคีรีมายาเองอาจไม่ทราบว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินจากนิคมสร้างตนเองฯ จะต้องมาขออนุญาตกับทางนิคมฯ ก่อน แต่คงเข้าใจว่าเมื่อ น.ค. 3 ได้เปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินแล้ว และทางโครงการคีรีมายาได้ยื่นขอจัดสรรที่ดินจากสำนักงานที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็น่าจะเพียงพอ
ส่วนบทลงโทษการใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ของนิคมสร้างตนเองฯ นั้น มีทั้งโทษจำคุกและปรับ แต่ค่อนข้างอ่อนมีโทษจำคุกแค่ไม่เกิน 1 เดือน และปรับไม่เกิน 1,000 บาท เท่านั้น
“ขณะนี้ทางนิคมฯ พยายามตรวจสอบข้อมูลเพื่อหารายละเอียดที่ชัดเจนให้มากที่สุดจากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา เพื่อตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินว่ามีที่ดินกี่แปลงที่มาจากการ น.ค. 3 เพื่อจะได้ไปตรวจสอบให้ชัดเจน ขณะนี้ผู้ใหญ่ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เองก็เร่งรัดมาโดยตลอดเพื่อขอคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งคงต้องรอให้ทางที่ดินจังหวัดตอบกลับมาก่อน” แหล่งข่าวกล่าวในตอนท้าย