อุบลราชธานี - รอง ผอ.โรงเรียนนาเยียศึกษา อ.นาเยีย จ.อุบลฯ แจงเหตุปักเกรดผลการเรียนแต่ละเทอมไว้บนเสื้อเป็นข้อแลกเปลี่ยนยอมให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ ทั้งยังเป็นกุศโลบายที่ทำให้กระตือรือร้นขยันเรียนมากขึ้น
จากกรณีมีการแชร์ภาพปักเกรดผลการเรียนที่ป้ายชื่อบนเสื้อนักเรียนในโลกออนไลน์ จนมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ผู้บริหารโรงเรียนเป็นการทำไม่เหมาะสม จะมีผลกระทบต่อจิตใจของนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดีนั้น
ความคืบหน้าเรื่องนี้ นายกำจัด กุลโชติ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักเรียนและบุคลากร โรงเรียนนาเยียศึกษารัชมังคลาภิเษก อ.นาเยีย จ.อุบลราชธานี ชี้แจงว่า การให้นักเรียนปักเกรดแสดงผลการเรียนในแต่ละเทอมไว้ที่ใต้ชื่อบนเสื้อนักเรียนของแต่ละคนเป็นกุศโลบายที่ทำมาตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการสั่งห้ามใช้ไม้เรียวตีเด็กนักเรียนตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่โรงเรียนเหล่างามพิทยาคม อ.โพธิ์ไทร
ทั้งนี้ มีจุดประสงค์ต้องการให้นักเรียนสร้างวินัยในตัวเอง และมีความพยายามที่จะปรับผลการเรียนของตัวเองให้ดีขึ้น โดยการปักเกรดบนเสื้อนักเรียนไม่ได้มีการบังคับแล้วแต่ความสมัครใจของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งสามารถทำให้เด็กนักเรียนในกลุ่มมีผลการเรียนย่ำแย่มีผลการเรียนดีขึ้น
แต่ในช่วงนั้นไม่เป็นข่าว เพราะโลกของการสื่อสารยังไม่กว้างไกลเหมือนทุกวันนี้ กระทั่งตนย้ายมาเป็นรองผู้อำนวยการที่โรงเรียนแห่งนี้เมื่อปลายปี 2556 และกระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้เด็กนักเรียนชายตัดผมรองทรงแทนผมทรงนักเรียน ส่วนนักเรียนหญิงก็ให้ไว้ผมยาวได้ถึงกลางหลัง จึงนำกุศโลบายปักเกรดบนอกเสื้อนักเรียนมาใช้ โดยให้เด็กที่ต้องการไว้ผมยาวยอมปักเกรดของตัวเองบนปกเสื้อแลกกับที่ต้องการไว้ผมยาว
เด็กที่มีเกรดการเรียนตั้งแต่ศูนย์ หรือเกรดเฉลี่ยอื่นๆ หากอยากไว้ผมยาวต้องเรียนให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นในทุกภาคเรียนจึงอนุญาตให้ไว้ผมยาวได้ โดยไม่บังคับจะต้องมีการปักเกรด แต่คนที่ไม่ปักเกรดแต่ไว้ผมยาวจะถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกสอบถามถึงผลการเรียนบ่อยๆ ถ้าเด็กรำคาญไม่อยากถูกเรียกสอบถามบ่อยๆ ก็จะปักเกรดไว้บนเสื้อ เพื่อไม่ให้ถูกเรียกตรวจสอบเวลาเดินอยู่ในโรงเรียน
ส่วนกลุ่มเด็กที่มีเกรดการเรียนดีเฉลี่ยเกรด 3 ขึ้นไป ก็มีความภูมิใจผลการเรียนของตนเอง ต้องการปักเพื่อโชว์ให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นเห็น ทำให้เพื่อนที่ผลการเรียนไม่ดีมีความพยายามเรียนให้ได้เกรดสูงขึ้นตามไปด้วย
ก่อนตนจะย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ มีผลการสอบโอเน็ตของนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของสำนักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก (สมศ.) โดยอยู่ในขั้นวิกฤตติดต่อกันมาถึง 2 ปี แต่เมื่อนำกุศโลบายนี้มาใช้ การสอบโอเน็ตประจำปีการศึกษา 2557 ปรากฏลดอันดับจากโรงเรียนที่มีผลการสอบย่ำแย่อันดับที่ 57 ลงมาอยู่ในอันดับที่ 15 ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 29 เพราะนักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนเพื่อแข่งขันกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในแต่ละปีจะมีเด็กนักเรียนร้อยละ 30 ที่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อ่านหนังสือไม่ออก เขียนได้เพียงชื่อและนามสกุลของตัวเองเท่านั้น จำเป็นต้องนำกุศโลบายต่างๆ มาใช้ผลักดันให้เด็กมีวินัย มีความต้องการที่จะเรียนรู้มากกว่าปกติ เพื่อไม่ให้เด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดีทิ้งการเรียนไปกลางคัน เพราะจะกลายเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว
ขณะที่นายวรัญญู นิมินรัมย์ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ 1 บ้านนาเยีย ต.นาเยีย อดีตศิษย์เก่าที่นำภาพการปักเกรดบนอกเสื้อนักเรียนมาโพสต์กล่าวว่า สมัยที่ตนเรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ยังไม่มีกุศโลบาย เมื่อกลับมาบ้านและเห็นเสื้อของญาติมีศักดิ์เป็นหลานสาวมีการปักเกรด
จึงมีความรู้สึกว่าโรงเรียนเน้นแต่จะสร้างผลงานด้านการเรียน จึงนำภาพไปโพสต์และแสดงความไม่เห็นด้วย จนมีการแชร์ต่อๆ ไปอย่างกว้างขวาง
กระทั่งต่อมาได้สอบถามเพื่อนที่เพิ่งจบการศึกษาในปีนี้ ทราบว่าการปักเกรดแลกกับการไว้ผมยาวตลอดปีการศึกษาที่ผ่านมาทำให้มีผลการเรียนดีขึ้นจากปีก่อนๆ จึงรู้สึกเสียใจที่ไม่หาข้อมูลให้รอบคอบก่อนมีการแชร์ภาพออกไป จึงมาขอโทษทางโรงเรียนและขอโทษญาติผู้หญิงที่เอาป้ายชื่อขึ้นไปโพสต์โดยไม่ปิดบังชื่อ ทำให้ถูกเพื่อนนักเรียนด้วยกันเข้ามาต่อว่าผ่านทางเฟซบุ๊กจนมองหน้าใครไม่ได้
ขณะที่ น.ส.มะลิวรรณ ปิ่นหอม อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ซึ่งเป็นเจ้าของเสื้อและเกรดที่ถูกนำไปโพสต์ กล่าวว่า การปักเกรดบนอกเสื้อทำให้ผลการเรียนจากภาคการศึกษาแรกปี 2557 จาก 3.23 ขึ้นเป็น 3.45 ในภาคการศึกษาที่สอง
การปักเกรดทำให้มีความรู้สึกถ้าไม่ได้เกรดสูงขึ้นก็ต้องไม่ให้เกรดการเรียนตกต่ำกว่าเก่า ทำให้มีความขยันในการเรียน ส่วนเพื่อนที่มีเกรดต่ำบางคนก็ไม่ปัก ก็ไม่มีใครว่าอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวเข้าทำข่าวและสอบถามข้อเท็จจริงจากเด็กนักเรียนที่ตกเป็นข่าว ปรากฏว่าบรรดาผู้ปกครองของ น.ส.มะลิวรรณแสดงความไม่พอใจ พร้อมระบุจะฟ้องร้องคนที่นำภาพเสื้อลูกสาวไปโพสต์ รวมทั้งสื่อที่นำไปเผยแพร่จนทำให้บุตรสาวกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะถูกเพื่อนนักเรียนและคนภายนอกมาต่อว่า
แต่เมื่อนายวรัญญูกล่าวขอโทษ และรับฟังคำชี้แจงจุดประสงค์การมาทำข่าวเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้สังคมรับทราบ ไม่ให้คนเห็นภาพแล้วไม่ทราบความจริงสร้างจินตนาการและกล่าววิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีเหตุผล หลังรับฟังคำชี้แจงกลุ่มญาติ น.ส.มะลิวรรณมีท่าทีดีขึ้นและเข้าใจพร้อมไม่ติดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย