โผล่ป่วนอีก! “บิ๊กจิ๋ว” ให้ยาหอมช่วยเงินประกอบอาชีพ ผรท.อีสานใต้

อุบลราชธานี - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางร่วมทอดผ้าป่าการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาสจังหวัดอำนาจเจริญ เผยการใช้กฎหมายมาตรา 44 เพื่อลดผลกระทบจากต่างประเทศมองไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ขณะเดียวกันผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยยื่นหนังสือร้องให้ช่วยผู้มีรายชื่อตกหล่นรับค่าประกอบอาชีพเมื่อหลายสิบปีก่อน

วันนี้ (1 เม.ย.) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเป็นประธานทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านป่าก่อ ต.ป่าก่อ อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ โดยมีกลุ่มมวลชนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยและผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยในพื้นที่จังหวัดอีสานใต้เข้าร่วมจำนวนหนึ่ง

พล.อ.ชวลิตได้กล่าวกับผู้มาร่วมต้อนรับในงานระบุว่า ในอดีตเคยต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยตามนโยบายของรัฐบาลสมัยนั้นเพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดในประเทศ แต่ปัญหาของคนอีสานที่ดำเนินมาเป็นร้อยปีคือความแห้งแล้งน้ำใช้ทำเกษตรกรรม

จึงขอให้คนอีสานรวมตัวแก้ปัญหากันเอง ไม่ต้องรอให้ผู้ปกครองมาสั่ง เพราะเป็นผู้อยู่ใกล้ปัญหาย่อมรู้ปัญหาที่เกิดจากภัยแล้งดีที่สุด

ต่อมา พล.อ.ชวลิตกล่าวถึงการยกเลิกกฎอัยการศึกและมาใช้กฎหมายมาตรา 44 ว่า การเปลี่ยนใช้เพราะถูกมองว่ากฎอัยการศึกเป็นการใช้กฎหมายที่รุนแรง แต่ความจริงคนไทยเข้าใจการประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่รัฐบาลต้องการลดผลกระทบที่มาจากต่างประเทศซึ่งมองว่ารัฐบาลนี้ไปทำร้ายประชาธิปไตย

แต่ความจริงไม่มีประชาธิปไตยที่ไหน ประเทศมีแต่ความขัดแย้งของประชาชนในประเทศ ทำให้ทหารต้องเสียสละก้าวเข้ามาป้องกันไม่ให้คนไทยปะทะกันเอง

“จึงต้องใช้กฎหมายสูงสุดของชาติ ซึ่งไม่ใช่รัฐธรรมนูญ แต่คือความอยู่รอดของประเทศชาติ จึงต้องทำอะไรให้ประเทศอยู่รอดไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐต้องอธิบายให้คนในประเทศเข้าใจ”

หลังจากนั้น นางมะลิซ้อน สะแบงบาน เลขาธิการกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ภาคอีสานยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ชวลิตให้ช่วยผลักดันให้รัฐบาลรับพิจารณาผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หลังออกจากป่าเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่มีรายชื่อตกหล่นและยังไม่ได้รับเงินใช้ประกอบอาชีพรายละ 225,000 บาท ซึ่ง พล.อ.ชวลิตได้รับหนังสือเอาไว้ และจะสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือ ผรท.ที่มีรายชื่อตกหล่นต่อไป