นครปฐม - คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามบริหารงานตำรวจจังหวัดนครปฐม (กต.ตร.) ประชุมติดตามผลการปฏิบัติงานของตำรวจ พร้อมรายงานกรณี “รอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม” ทะเลาะกับวัยรุ่นลงคลิป
เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (17 ธ.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 ภูธรจังหวัดนครปฐม ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามบริหารงานตำรวจจังหวัดนครปฐม (กต.ตร.) ครั้งที่ 4/2557 โดยมี นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธาน ร่วมด้วย พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม นายวีระ พูนวิทย์ อัยการจังหวัดนครปฐม และนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการ และผู้กำกับการ นายตำรวจระดับบริหาร และ กต.ตร. เข้าร่วม
ในการประชุมได้มีการนำวาระการประชุมต่างๆ เข้ามาหารือ และติดตามผลการดำเนินการทั้งในเรื่องคดีสำคัญที่เป็นคดีสะเทือนขวัญ และมีประชาชนได้ให้ความสนใจ ซึ่งแต่ละสถานีตำรวจภูธรได้มีการแจงผลการติดตามทุกระยะให้ในที่ประชุมทราบ
รวมถึงการรับนโยบายจากผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ทั้งในเชิงรุกและรับ เช่น โครงการ ครู D.E.R.A (ครูแดร์) ที่ลงพื้นที่เข้าทำการสอน และให้ความรู้แก่นักเรียนแบบเข้มข้นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในเยาวชน หรือโครงการต่างๆ ที่เข้าร่วมกับหน่วยงานต่างๆ
ทั้งนี้ วันเดียวกัน พ.ต.ท.ฤทธิรงค์ โชติกลาง รอง ผกก.จร.สภ.เมืองนครปฐม ได้เข้าชี้แจงกรณีที่ ร.ต.ท.ชัยรัตน์ มณีรอด รอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม ที่ตกเป็นข่าวดังในกรณีเข้าทำการจับกุมรถวัยรุ่น และเกิดมีปากเสียงกันก่อนถูกนำเรื่องถ่ายคลิปลงในสังคมออนไลน์ และมีสื่อหลักหลายแห่งให้ความสนใจ และนำไปเสนอเป็นข่าวดังไม่กี่วันที่ผ่านมา
โดยรอง ผกก.จร.สภ.เมืองนครปฐม ได้ชี้แจงว่า ในกรณีดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เมืองนครปฐม ไม่ได้มีความนิ่งนอนใจ และได้มีการเรียกตัว ร.ต.ท.ชัยรัตน์ เข้ามาทำการสอบสวนในระดับบังคับบัญชาตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมาแล้ว
โดยมีข้อมูลว่า มีปากเสียงกันมากกว่าคลิปที่นำไปลงเผยแพร่ ซึ่งในส่วนที่มีการเผยแพร่นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และน่าจะเป็นการบันดาลโทสะของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่ง ร.ต.ท.ชัยรัตน์ ได้รับว่ามีการจับกุมจริง และชี้แจงต่อวัยรุ่นที่เป็นคู่กรณีว่า รถมีการตกแต่งท่อเสียงดังเกินกฎหมายกำหนด แต่ก็คุยไม่รู้เรื่อง และเกิดมีปากเสียงกันก่อนจะตกเป็นข่าว
ในขั้นต่อไปจะมีการเชิญคู่กรณีของ ร.ต.ท.ชัยรัตน์ มาให้ปากคำอีกครั้งหนึ่ง เพราะตอนนี้มีข้อมูลเพียงด้านเดียว จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยจะเร่งดำเนินการในเรื่องนี้อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมาต่อหน้าคณะกรรมการ (กต.ตร.) และจะนำข้อมูลทั้งหมดมาชี้แจงต่อไป