อุบลราชธานี - กรมการบินพลเรือน ตั้งงบฉุกเฉิน 20 ล้าน เร่งซ่อมสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ใช้งานได้ตามปกติภายใน 2 เดือน ระหว่างนี้ขอให้ผู้โดยสารเข้ารับการตรวจสอบรายชื่อก่อนขึ้นบินเร็วกว่าปกติ 30 นาที ขณะเจ้าของร้านขายผ้าไหมใกล้จุดเกิดเหตุ เผยไฟฟ้าสปาร์กที่เครื่องปรับอากาศบนเพดานเหนือร้านก่อนเพลิงไหม้ 2 วัน
วันนี้ (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี รายงานบรรยากาศการเข้าใช้บริการหลังสนามบินนานาชาติจังหวัดอุบลราชธานี หลังเกิดเพลิงไหม้ขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ประชาชนยังเข้ามาใช้บริการเดินทางตามปกติ โดยเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานเปิดพื้นที่ห้องพักผู้โดยสารฝั่งทิศตะวันตก และทิศตะวันออก ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ใช้รอขึ้นเครื่องและลง
โดยเจ้าหน้าที่แต่ละสายการบินจะนำโต๊ะมานั่งตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารบริเวณประตูทางเข้าทิศตะวันตก และให้เดินผ่านเครื่องสแกนเข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่องในห้องพัก ซึ่งวันนี้ผู้บริหารของกรมการบินพลเรือน ได้เดินพูดคุยทักทายสอบถามเรื่องความสะดวกของผู้โดยสารที่จะมาขึ้นเครื่อง ซึ่งผู้โดยสารก็เข้าใจถึงความจำเป็น ส่วนผู้โดยสารขาลงก็ให้ไปใช้ห้องด้านทิศตะวันออกเหมือนตามปกติ
ส่วนพื้นที่ตรงกลางที่เป็นที่ตั้งร้านจำหน่ายสินค้า และเป็นเคาน์เตอร์ให้บริการของสายการบิน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 80 คูณ 40 เมตร ถูกสั่งปิดจนกว่าจะทำการซ่อมแซมให้เสร็จเรียบร้อย เพราะฝ้าเพดาน กระจก และเครื่องปรับอากาศได้รับความเสียหายทั้งหมด
นายเสรี จิตต์โสภา รองอธิบดีกรมการบินพลเรือนกล่าวถึงสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรบริเวณปลั้กไฟฟ้า หรือเครื่องปรับอากาศที่อยู่เหนือร้านขายผ้าไหมและเทียนหอม แต่ยังไม่ชัดเจน ต้องรอให้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานของตำรวจลงความเห็นก่อน
สำหรับการซ่อมแซมพื้นที่ถูกไฟไหม้ทั้งฝ้าเพดาน กระจก และระบบปรับอากาศใหม่ทั้งหมด เพราะได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ และใช้งานมานานกว่า 20 ปี ซึ่งกรมการบินพลเรือนได้ตั้งงบใช้ซ่อมแซมฉุกเฉินไว้ 20 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งระบบไม่เกิน 2 เดือน
ด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยสัมภาระของผู้โดยสารที่จะนำขึ้นเครื่องแต่ละเที่ยวบิน มีระบบสายพานลำเลียง และเครื่องสแกนสำรอง จึงยังคงใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยได้ตามมาตรฐานสากล ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
และระหว่างการซ่อมแซมระบบของสนามบินทั้งหมด ต้องขอความร่วมมือจากผู้โดยสารที่ใช้บริการให้เข้ารับการตรวจสอบเอกสารล่วงหน้าเร็วกว่าปกติอีก 30 นาที เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการขึ้นเครื่องด้วย
ขณะเดียวกัน นางอุบลกาญจน์ โหตระไวศยะ อายุ 47 ปี เจ้าของร้านต้นเทียนไหมไทย ซึ่งจำหน่ายผ้าพื้นเมือง และสินค้าโอทอป หนึ่งในร้านที่ได้รับความเสียหาย เปิดเผยว่า ระหว่างเกิดเหตุไม่ได้เสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ ทิ้งไว้ แต่เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ต.ค.ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน เกิดกระแสไฟฟ้าสปาร์กขึ้นที่เครื่องปรับอากาศ ที่อยู่บนเพดานเหนือร้านของตน ทำให้กระแสไฟฟ้าในสนามบินดับลงนานราว 1 ชั่วโมง
ต่อมา มีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าของสนามบินเข้ามาแก้ไขจนไฟฟ้ากลับมาใช้การได้ตามปกติ ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งมาเกิดไฟไหม้ใกล้ร้านขายผ้าไหม และร้านขายต้นเทียนหอมที่ตั้งอยู่ติดกัน สำหรับสินค้าของตนเองได้รับความเสียหายมีมูลค่าราว 3 ล้านบาท