น่าน - กลุ่มเภสัชกรน่านรวมตัวคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ยาใหม่ ชี้ขาดความโปร่งใส ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ อาจส่งผลต่อสวัสดิภาพ และความปลอดภัยการใช้ยาของประชาชน
วันนี้ (9 ต.ค.) เภสัชกรหญิง ภัชรา ถาวลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค และเภสัชสาธารณสุขจังหวัดน่าน เป็นแกนนำกลุ่มเภสัชกรออกมาแสดงพลังที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัติยา ฉบับใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งกลับมาให้พิจารณา เนื่องจากขาดความโปร่งใส ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ ส่งผลต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยาของประชาชน
โดยกลุ่มเครือข่ายเภสัชกรจังหวัดน่านได้ร่วมชูป้ายตีพิมพ์ประกาศข้อความไม่เอา พ.ร.บ.ยา ซึ่งระบุว่าเป็นฉบับลักไก่ ที่ละเลยประชาชน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการใช้ยาของผู้บริโภค และความเสียหายต่อระบบยาของประเทศไทย
จากนั้นกลุ่มเภสัชกรน่านทั้งหมดได้เดินทางต่อไปยังห้องจ่ายยาภายในโรงพยาบาลน่าน เพื่อแสดงให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่กำลังรับบริการ ได้รับทราบความเคลื่อนไหวกรณีดังกล่าว
พร้อมประกาศหัวข้อหลักในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ อนุญาตให้ผสมยาโดยไม่มีการควบคุม, ไม่มีข้อกำหนดห้ามโฆษณายาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงและใช้ยาเกินจำเป็น และเป็นอุปสรรคในการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคของพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยา เพื่อการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน
ดังนั้น กลุ่มเภสัชกรจังหวัดน่าน และทั่วประเทศ จึงขอคัดค้านและเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ใน 7 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การแบ่งประเภทยาไม่เป็นไปตามหลักสากล 2. การยกเว้นให้ผู้ประกอบวิชาชีพหลายสาขาไม่ต้องขออนุญาตผลิต ขาย นำเข้ายา 3. การอนุญาตให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านยาเป็นผู้ดำเนินการและผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการทำหน้าที่จัดการและควบคุมการผลิต ขาย นำเข้ายา
4. การอนุญาตให้ต่ออายุทะเบียนตำรับยาโดยไม่มีการทบทวนทะเบียนตำรับยา และมีข้อยกเว้นให้ผู้ประกอบวิชาชีพผสมยาได้ไม่ต้องขึ้นทะเบียนตำรับยา 5. การอนุญาตให้โฆษณายาทุกประเภทและโฆษณารักษาโรคที่ร้ายแรงได้และมีการการควบคุมการส่งเสริมการขาย 6. ไม่มีข้อห้ามการผลิตและการขายยาชุด และข้อ 7. ไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิด และกรณีที่มีบทลงโทษแต่ไม่เป็นธรรมและไม่มีโทษทางปกครอง
หลังจากประกาศหัวข้อหลักในการคัดค้านแล้ว กลุ่มเภสัชกรทั้งหมดได้ออกพบปะประชาชนและคนไข้ภายในโรงพยาบาลต่อ ก่อนแยกย้ายกลับไปทำงานด้วยความสงบ