เปิดใจหนุ่มเจมส์ เจ้าของทะเบียนรถเลขสวย 1 กก 1111 ที่ประมูลมาได้ในราคา 25 ล้าน เผยไม่เชื่อโชคลาง หรือเลขมงคล แต่อยากได้เพราะเป็นป้ายทะเบียนประวัติศาสตร์ พร้อมสู้ราคาถึง 50 ล้าน แจงครอบครัวเป็นแค่ชนชั้นกลาง ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชลบุรี ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ได้เงินไปเรียนหนังสือวันละ 200 บาท
กลายเป็นประเด็นร้อนประเด็นดังในชั่วข้ามวัน ท่ามกลางกระแสความสนใจ และกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายในโลกสังคมออนไลน์ ทั้งยังกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมในชั่วพริบตา หลังสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และรายการวาไรตีต่างๆ ติดต่อขอเชิญตัวไปพูดคุย และสอบถามข้อมูล รวมทั้งที่มาที่ไปของการทุ่มเงิน จำนวน 25 ล้านบาท ในการประมูลทะเบียนรถเลขสวย 1 กก 1111 กรุงเทพมหานคร ซึ่งกรมการขนส่งทางบก ได้จัดให้มีการประมูลเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2557 และได้มีพิธีส่งมอบป้ายเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่พุ่งความสนใจไปที่ตัวหนุ่มน้อยวัย 19 ปี นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ ผู้เป็นเจ้าของทะเบียน
ภายหลังการรับมอบทะเบียน 1 กก 1111 กรุงเทพฯ ได้เพียง 1 วัน หนุ่มเจมส์ หรือ นายธนภัทร ตันติเสเวกุล ทายาทนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดชลบุรี พร้อมคุณพ่อ (อนุวิทย์ ตันติเสเวกุล) พร้อมทีมงานก็ได้เปิดโอกาสให้ทีมงาน “ASTVผู้จัดการออนไลน์” เข้าพูดคุยเพื่อตอบคำถามและข้อสงสัยมากมายที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งเรื่อง รวยจริง? บ้า? หรือว่าตั้งใจ?
โดยการนัดหมายมีขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งในขณะที่ทีมงานได้พบกับน้องเจมส์ และคุณพ่อ ก็พบว่าตลอดระยะเวลาของการพูดคุยมีสื่อชื่อดังทุกสำนักทั้งทีวี หนังสือพิมพ์และรายการวาไรตี ติดต่อขอสัมภาษณ์น้องเจมส์ ตลอดเวลา
น้องเจมส์ หรือ นายธนภัทร ตันติเสเวกุล บอกแก่เราว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ หรือรู้ล่วงหน้าว่าการเดินทางเข้ารับป้ายทะเบียนเลขสวยเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา จะเปลี่ยนชีวิตเด็กหนุ่มวัย 19 ให้กลายเป็นจุดสนใจในชั่วพริบตา จนไม่สามารถเรียนหนังสือ หรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ เขาขอเลือกให้คุณพ่อเป็นผู้เดินทางเข้ารับแผ่นป้ายแทน
“การประมูลเลขสวยไม่ใช่ว่าผมเพิ่งทำเป็นครั้งแรก ผมทำมาตั้งแต่อายุ 17 ปีแล้ว เพราะมีความสนใจ และอยากรู้ว่าการประมูลคืออะไร ซึ่งในครั้งแรกก็เลือกเข้าประมูลเลขทะเบียนสวยที่จังหวัดชลบุรี และก็รู้เลยว่าเราสนใจทางนี้จึงเข้าร่วมการประมูลทุกครั้ง จนปัจจุบันได้รับเชิญจากสำนักงานขนส่งทางบก ในหลายจังหวัดให้เข้าร่วมการประมูล และปัจจุบันก็มีเลขทะเบียนสวยกว่า 10 ป้ายทะเบียน แต่ทุกครั้งที่ประมูลไม่เคยเป็นข่าว ซึ่งการเข้าร่วมประมูลทุกครั้งเราแค่เข้าไปทำในสิ่งที่ชอบ และร่วมทำบุญ เพราะตัวเราเองก็ขับรถบนท้องถนน ทางบ้านก็สนับสนุนว่าเป็นเรื่องดีที่จะช่วยสมทบทุนในโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนท้องถนน จะมีก็ครั้งล่าสุดที่ได้รับเชิญจากกรมการขนส่งทางบก กรุงเทพมหานคร ให้เข้าร่วมประมูลเลขในหมวด 1 กก และก็มีเลข 1 กก 1111 กรุงเทพมหานคร ที่ทีมงานของเราบอกว่าน่าสนใจเพราะเป็นเลขประวัติศาสตร์”
น้องเจมส์ ขยายความว่าตน และทุกคนในครอบครัวไม่เชื่อเรื่องโชคลาง ดวงชะตา หรือแม้แต่เรื่องเลขมงคล เพียงแต่เมื่อเห็นเลข 1 กก 1111 ก็เกิดความสนใจ จากความหมายของเลขที่หมายถึงการเป็นที่ 1 ทั้งยังอยู่หน้าหมวดอักษรตัวแรกของพยัญชนะไทย และยังมีเลข 1 เต็มแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งหากไม่เข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ และปล่อยให้เลขสวยหลุดมือไป จะต้องรอนานถึง 157 ปี หมวดเลขและอักษรดังกล่าวจึงจะเวียนกลับมาให้เห็นอีกครั้งแต่ก็จะเป็นในหมวด 11 กก ซึ่งไม่ใช่เลขประวัติศาสตร์ ที่สำคัญการประมูลในครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ชนะสามารถออกแบบกราฟิกได้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก และตนเลือกที่จะออกแบบกราฟิกเป็นม้า เพราะเชื่อว่าคือ สัญลักษณ์แห่งความแข็งแรง และมั่งคั่งแบบไม่สิ้นสุด
“การเข้าร่วมประมูลในครั้งล่าสุดไม่ใช่เกิดจากความคิดของผมคนเดียว แต่ยังมีคุณพ่อ คนในครอบครัว และทีมงานที่เห็นตรงกันว่าเราควรได้แผ่นป้ายทะเบียนนี้ ก็เลยกำหนดวงเงินที่จะเข้าร่วมประมูลที่จะสู้ตั้งแต่ราคา 25 ล้านบาท ไปจนถึง 50 ล้านบาท ซึ่งหากสุดท้ายแล้วมีคนให้ราคาประมูลมากกว่า 50 ล้านบาท เพียง 1 บาท เราจะยกแผ่นป้ายให้ทันที แต่หากประมูลแล้วราคาไม่ถึง 25 ล้านบาท เราก็จะจ่ายในราคานี้เพราะเป็นความตั้งใจ ซึ่งในครั้งนั้นก็มีผู้ประมูลแข่งกัน 3-4 ราย เริ่มต้นที่ราคา 4.44 ล้านบาท”
และผลจากการประมูลเลขสวยในสนนราคาดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมายทั้งในสังคมไทย และข่าวสารที่แพร่กระจายไปไกลถึงต่างประเทศ ทั้งการตั้งข้อสงสัยเรื่องการใช้เงินที่มากเกินความสามารถของเด็กหนุ่มวัยเพียง 19 ปี ความอยากรู้ถึงที่มาของเงิน การดำเนินธุรกิจของครอบครัว และเหตุใดจึงไม่นำเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปทำบุญช่วยเหลือสังคม
น้องเจมส์ บอกกับเราถึงประเด็นคำถามที่เกิดขึ้นมากมายว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดความกังวลต่อครอบครัวของตนแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมา ครอบครัวมีการทำบุญใหญ่ และร่วมทำบุญในโอกาสต่างๆ รวมทั้งมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กๆ อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่เกิดเป็นกระแสข่าว และอยู่ในความสนใจของสังคมเท่านั้น ที่สำคัญการประมูลเลขสวยที่เกิดขึ้นก็เป็นกิจกรรมที่ครอบครัวและตนกระทำป็นประจำ เพียงแต่ไม่เคยอยู่ในกระแสความสนใจดังเช่นครั้งล่าสุด
“ถ้าถามว่าผมรวยหรือไม่ ตอบได้เลยผมเป็นแค่ชนชั้นกลางที่มีความสนใจในกิจกรรมประมูลเลขทะเบียนสวยเท่านั้น ซึ่งการประมูลครั้งล่าสุดจัดขึ้นในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤต ราคาจึงอยู่ในระดับนี้ แต่หากจัดในช่วงเศรษฐกิจดี เชื่อเลยว่าเลขดังกล่าวจะมีราคาเกิน 50 ล้านบาทอย่างแน่นอน ที่สำคัญในวันนี้ประเทศไทย กลุ่มคนที่ประมูลเลขสวยยังเป็นคนชั้นกลาง ไม่เหมือนต่างประเทศที่คนเล่นเลขทะเบียนสวยคือ กลุ่มคนมีเงิน ซึ่งหากคนมีเงินจริงๆ ในประเทศไทยที่มีอยู่ไม่น้อยลงมาเล่นเลขทะเบียนสวยแล้ว ราคาป้ายทะเบียนที่ประมูลจะขึ้นหลัก 100 ล้านบาทอย่างแน่นอน”
ส่วนเรื่องที่นำทะเบียนไปติดรถยนต์นิสสัน ที่มีราคาเพียง 4 แสนกว่าบาท ก็เพราะผมเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็สามารถติดทะเบียนสวยได้ทั้งนั้น ที่สำคัญรถรุ่นนี้ผมก็มีความชื่นชอบเป็นส่วนตัว เพราะมีความน่ารัก และผมก็ใช้เป็นประจำทุกวัน ขณะที่กระแสวิจารณ์เกี่ยวกับการใช้เงินกับเรื่องดังกล่าวจำนวนมากว่านอกจากจะรวยแล้ว ต้องบ้าด้วยนั้น ตนกลับมองว่าการประมูลเลขทะเบียนสวยนอกจะได้ทำบุญแล้ว ป้ายทะเบียนยังเป็นทรัพย์สินที่สามารถยกเป็นมรดกให้กันได้
ขณะที่ชีวิตในมหาวิทยาลัยของน้องเจมส์ ในแต่ละวันคือ เด็กหนุ่มธรรมดาที่ได้ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ และเล่นกีฬา โดยมีเกรดเฉลี่ยที่ 3.47 ที่สำคัญได้ค่าขนมจากทางบ้านเพียงวันละ 200 บาท และอาหารกลางวันที่รับประทานคือ ร้านประจำข้างถนนบริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยที่มีราคาขายเพียงจานละ 30-35 บาท โดยเด็กหนุ่มผู้นี้บอกว่า ตนเป็นเพียงคนธรรมดาในมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญกรุงเทพฯ ที่มิได้ร่ำรวย หรือเป็นที่สนใจใดๆ เนื่องเพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคนร่ำรวยที่จัดได้ว่าอยู่ในระดับมหาเศรษฐีอยู่เป็นจำนวนมาก
“พอมีข่าวเกิดขึ้นมันก็เปลี่ยนชีวิตผมในช่วงวันนั้น เพราะจากที่ไม่เคยมีใครสนใจก็มีคนหันมามอง มีนักข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ โทรศัพท์เข้ามาขอสัมภาษณ์ หลายรายการติดต่อเข้ามาเยอะจนผมเรียนหนังสือไม่ได้เลย วันนี้ผมอยากบอกว่า ผมก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ชื่นชอบบรรยากาศในการประมูล และเข้าร่วมการประมูลทุกครั้งเพราะความสนใจไม่ใช่อยากจะอวดรวยอะไร เพราะยิ่งเราอวดรวย เรายิ่งถูกด่า ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยเพียงแต่เราสนใจในจุดนี้ เรื่องการทำบุญเราทำกันเป็นปกติมีการเข้าวัด บริจาคสิ่งของ และมอบทุนการศึกษาอยู่เป็นประจำ”
ส่วนเรื่องการดำเนินธุรกิจของครอบครัว น้องเจมส์ บอกว่าที่บ้านเป็นเพียงผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งครอบครัวไม่มีความสนใจในการเล่นการเมืองท้องถิ่น หรือกิจกรรมทางสังคมใดๆ และขอใช้ชีวิตดำเนินธุรกิจแบบเงียบๆ พร้อมโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการประมูลดังกล่าวว่า เป็นเพราะหวังผลในการโปรโมตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวว่าไม่เป็นความจริง และไม่ขอให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวเพราะไม่ต้องการให้มีการขยายความให้มากกว่าที่เป็นอยู่
น้องเจมส์ กล่าวปิดท้ายกับเราว่า แม้การได้แผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวจะทำให้ตนกลายเป็นที่สนใจของสังคม แต่สิ่งที่ครอบครัวสอน และเน้นย้ำเป็นประจำก็คือ การใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่ง เพียงแต่ให้ทำในแต่ละวันอย่างดีที่สุดเท่านั้น ที่สำคัญเป้าหมายในชีวิตของเขาในวันนี้คือ ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาในระดับเนติบัณฑิต เมื่อจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ด้วยหวังเป็นผู้พิพาษาที่หนุ่มที่สุดในประเทศอีกด้วย
สำหรับ ครอบครัวของหมุ่มเจมส์ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มี โครงการบ้านจัดสรร ชื่อ สยามธารามันตรา ที่ อ.บ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการบ้านขนาด 200 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาท ขึ้นไป ซึ่งขายใกล้จะหมดแล้ว และกำลังขึ้นโครงการใหม่ ชื่อ โครงการอเมริกาทาวน์ ที่อ.บ้านบึง เช่นกัน ราคาเริ่มต้นที่ 4.5 ล้านบาท