ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จัดประชุมสัมมนาพบนักลงทุนต่างชาติในภาคเหนือ ชี้แจงแนวนโยบาย พร้อมให้ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนแก่ผู้บริหารบริษัทต่างชาติ และกงสุลต่างประเทศ ย้ำชัดประเทศไทยยึดเศรษฐกิจเสรีอ้าแขนรับนักลงทุน ชูอนาคตเน้นหนุนการผลิตใช้ฐานความรู้มากกว่าการใช้แรงงาน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 จัดการประชุม “ผู้บริหารบีโอไอ พบนักลงทุนต่างชาติในภาคเหนือ” พร้อมทั้งจัดการสัมมนาเรื่อง “บีโอไอกับนโยบายการลงทุนที่ยั่งยืนและสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน” โดยมี น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นประธานพิธีเปิด และร่วมการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งมีกงสุลต่างประเทศหลายประเทศประจำเชียงใหม่ และผู้บริหารบริษัทต่างประเทศที่ลงทุนในภาคเหนือเกือบ 100 บริษัท เข้าร่วมด้วย วันนี้ (22 ส.ค.) ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่
รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า การประชุมสัมมนาครั้งนี้เพื่อให้ความรู้และข้อมูลและสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนจากต่างประเทศว่า บีโอไอจะดูแลนักลงทุนทั้งก่อนและหลังการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศนั้นมีความละเอียดอ่อน เนื่องจากความแตกต่างของขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม รวมถึงกฎระเบียบทางราชการต่างๆ ที่อาจสร้างความไม่เข้าใจในการประสานงาน อย่างไรก็ตาม บีโอไอมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะช่วยขจัดปัญหา และอุปสรรคของนักลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจ และพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจต่อนักลงทุนชาวต่างประเทศที่ได้เลือกให้ไทยเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าประเทศไทยประสบกับปัญหาความไม่มีเสถียรภาพของการเมือง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดกับธุรกิจ แต่ต่อมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาปกครองประเทศ ทำให้วิกฤตการณ์ผ่านพ้นไป ทำให้การเมืองไทยได้กลับสู่เสถียรภาพอีกครั้งหนึ่ง พร้อมได้ประกาศโรดแมป 3 ขั้นตอนดังที่ทราบ เพื่อการปฏิรูปประเทศก่อนกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยที่ทางด้านเศรษฐกิจนั้นประเทศไทยยังยึดมั่นในระบบเศรษฐกิจเสรี และต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศเช่นเดิม
โดยหลังจากที่ คสช.ได้แต่ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่แล้ว จนถึงปัจจุบันมีการพิจารณาอนุมัติโครงการที่มีขนาดการลงทุนเกิน 200 ล้านบาทขึ้นไป รวมจำนวน 101 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 264.3 พันล้านบาท คาดว่าภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะสามารถพิจารณาอนุมัติโครงการที่ยังค้างการพิจารณาซึ่งมีข้อมูลครบถ้วนได้ทั้งหมด ส่วนโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาทนั้น เป็นอำนาจการพิจารณาของสำนักงานฯ และได้มีการพิจารณาอนุมัติโครงการต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 มีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 634 โครงการ มูลค่าการลงทุน 337 พันล้านบาท กิจการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดคือการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ 2 ซึ่งมีคำขอรับการส่งเสริมรวม 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 138.9 พันล้านบาท
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอยู่ระหว่างการปรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของไทยครั้งใหญ่ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายของประเทศ ในการก้าวข้ามไปสู่ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจที่สูงขึ้น โดยมุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรม และการบริการที่ใช้ฐานความรู้มากกว่าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงเป็นหลัก การให้สิทธิประโยชน์จะพิจารณาจากความสำคัญของแต่ละประเภทกิจการควบคู่ไปกับคุณค่าของโครงการ มากกว่าการพิจารณาจากพื้นที่ตั้งดังเช่นปัจจุบัน โดยนโยบายใหม่นี้มีมีเป้าประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว ส่งเสริมให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค และส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยนโยบายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2558