ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้ว่าฯ ชลบุรี เอาจริงสั่งดำเนินคดีเสี่ยเจ้าของกิจการโรงแรมย่านพัทยาใต้ 11 คดีรวด หลังดื้อแพ่งฝ่าฝืนคำสั่งห้ามก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตมาเป็นเวลานาน สุดท้ายต้องเข้ามอบตัวหลังถูกหมายจับ ก่อนประกันตัววงเงิน 2 แสนบาท พร้อมตั้งชุดทำงานเฉพาะกิจติดตามการปิดและรื้อถอนอาคารอย่างเด็ดขาด
จากกรณีที่เมืองพัทยา มีคำสั่งให้สถานประกอบการโรงแรมบูติค พาราไดซ์ ตั้งอยู่เลขที่ 12 ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี กลางซอย วี.ซี.พัทยาใต้ ดำเนินการรื้อถอนอาคารในส่วนที่ต่อเติมบริเวณชั้นบนอาคารดังกล่าว เนื่องจากพบว่า เป็นอาคารที่ผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่ได้ก่อสร้างต่อเติมดัดแปลงอาคาร ค.ส.ล.3 ชั้น เป็น 7 ชั้น ขนาดประมาณ 22x12 เมตร จำนวน 3 คูหา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมา เมืองพัทยาได้ดำเนินการออกคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง
รวมทั้งคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 พร้อมมอบหมายให้นิติกรเมืองพัทยา เป็นผู้ดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนก่อนส่งเรื่องฟ้องร้องในชั้นศาล
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในส่วนของอำเภอบางละมุง และเมืองพัทยาได้สนธิกำลังในการเข้าตรวจสอบ แต่ก็ยังพบว่ามีการลักลอบเปิดดำเนินการ จึงได้นำกำลังเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปแล้วบางส่วน พร้อมสั่งปิดการใช้อาคารเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการปรับปรุงแล้วเสร็จ แต่พบว่าไม่มีความคืบหน้ามากนัก
ล่าสุด นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ นายอำเภอบางละมุง พล.ต.ต.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา เดินทางมายัง สภ.เมืองพัทยา เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี หลังรับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่า ได้ออกหมายจับศาลจังหวัดพัทยาที่ จ.274/2557 ต่อ นายอลงกรณ์ แซ่หวัง ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐานก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารพาณิชยกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานท้องถิ่น ฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานท้องถิ่นที่ให้ระงับรื้อถอน การดัดแปลงอาคาร และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามใช้อาคาร
โดยพบว่า นายอลงกรณ์ ได้นัดหมายเดินทางเข้ามอบตัว ซึ่งต่อมา นายอลงกรณ์ พร้อมทนายส่วนตัวได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนก่อนยื่นขอความจำนงในการประกันตัวออกไปในวงเงิน 2 แสนบาท จากนั้นจึงเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น
โดยระบุว่า อาคารดังกล่าวในส่วนที่มีการดัดแปลงก่อสร้างนั้นถือว่าไม่ผ่านขั้นตอนของมาตรการตรวจสอบความปลอดภัย และอาจเกิดผลกระทบด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการในอนาคตได้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
นายคมสัน เปิดเผยภายหลังว่า คดีนี้เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานนับปี โดยพบว่าก่อนหน้านี้ มีการขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมขนาด 7 ชั้น และมีการลักลอบต่อเติมอาคารเป็น 11 ถึง 13 ชั้น ซึ่งถือว่าผิดขั้นตอน และสุ่มเสียงต่ออันตราย เรื่องนี้แม้จะมีการกระทำผิดที่โจ่งแจ้ง และเห็นอยู่เป็นรูปธรรมแต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เข้าใจว่าขั้นตอนติดอยู่ที่ใด ทำเหมือนการประวิงเวลา และเกื้อหนุนกัน จึงต้องเข้ามากำกับดูแลและเพิ่มความเข้มงวดด้วยตัวเองเพื่อให้มีความคืบหน้าในการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
หากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยจนสร้างความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินได้ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม จากนี้ได้สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องอันได้แก่ สำนักการช่างเมืองพัทยา นิติกรเมืองพัทยา และ สภ.เมืองพัทยา ทำการติดตามความคืบหน้าของการรื้อถอน การปิดตัวอาคาร และการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องจริงจัง ซึ่งคงจะมีการส่งร้องอีก 10 สำนวนคดี ขณะที่ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ปล่อยปละละเลยนั้นยอมรับว่าคงมีส่วนรู้เห็น และคงจะสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัยอย่างเฉียบขาดต่อไป