วันนี้ (12 มิ.ย.) นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมโรค ลงพื้นที่ ต.แดงใหญ่ อ.บ้านใหม่ชัยพจน์ และ ต.บ้านเป้า อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ หลังกรมควบคุมมลพิษตรวจพบสารตะกั่วตกค้างในร่างกายของชาวบ้านใน 11 หมู่บ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่กว่า 1,000 คน
ส่วนมากเป็นครอบครัวที่ทำอาชีพรับชื้อของเก่าที่ไม่ใช้แล้วตามบ้านเรือน และซื้อมาจากร้านขายของเก่า ในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และจังหวัดข้างเคียง เช่น โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องแอร์เก่า ก่อนมาชำแหละคัดแยกส่งขายมานานกว่า 10 ปี
ทั้งนี้เพื่อให้คำแนะนำวิธีป้องกันตนเองแก่ชาวบ้านในกลุ่มเสี่ยงในการจับ สัมผัส และสูดดมสารตะกั่วที่มากับเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าวในเบื้องต้น โดยใช้ผ้าปิดปาก และสวมถุงมืออย่างมิดชิด ร่วมถึงวิธีการทำความสะอาดร่างกายก่อนและหลังเสร็จสิ้นภารกิจ ถึงแม้ชาวบ้านจะไม่สามารถเลิกอาชีพดังกล่าวได้ก็ตาม
พร้อมกันนี้ยังให้คำแนะนำชาวบ้าน หากเป็นไปได้ให้เลิกรับซื้อหรือคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบอาชีพอื่น และห้ามไม่ให้เผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดใกล้ชุมชน เพราะจะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งกระจายสร้างมลพิษและมลภาวะในอากาศ ทำให้ผู้อื่นได้รับสารพิษดังกล่าวเข้าไปในร่างกายได้
ทั้งนี้ หากยังไม่มีที่กำจัดขยะอันตรายที่ได้มาตรฐานควรนำไปทิ้งในพื้นที่ที่ทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้ง 2 แห่งได้จัดไว้ให้เพื่อรอการนำไปทำลายอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนในชุมชน ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนน้ำจะชะล้างสารตะกั่ว ไหลไปตามแหล่งน้ำลำคลอง พื้นที่การเกษตร ซึ่งจะทำให้เสี่ยงอันตรายจากผลกระทบที่ตามมาดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าในดินบริเวณที่ชาวบ้านนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปทิ้งและเผานั้น มีสารตะกั่วปะปนอยู่กว่า 8,600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกินค่ามาตรฐานกว่า 20 เท่า และมีสารหนูสูงถึง 191 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกินค่ามาตรฐานกว่า 50 เท่า เป็นสภาวะที่เสี่ยงต่อสุขภาพประชาชนเป็นอย่างมาก และอยู่ระหว่างการหาแนวทางในการป้องกันแก้ไขของกรมควบคุมมลพิษ