ร้อยเอ็ด - ชาวบ้านสงเปือย ตำบลเมืองทอง จังหวัดร้อยเอ็ด โวยคนร้ายลอบลักตัดไม้พะยูงที่ดอนปู่ตาขนหนีกลางดึก หวั่นต้นไม้พะยูงที่เหลือจะโดนลอบตัดขโมยอีก เตรียมหอบหลักฐานเข้าแจ้งความตำรวจช่วยตามจับคนร้าย แต่หากพึ่งตำรวจไม่ได้จะหันไปพึ่งทหารแทน
นายสุบรรณ แก้วพล ผู้ใหญ่บ้านบ้านสงเปลือย หมู่ที่ 5 ต.เมืองทอง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด พร้อมนายสมศักดิ์ พรหมรินทร์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน, ครู, นักเรียน และชาวบ้าน ได้นำสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบสภาพต้นพะยูงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 ซม. สูง 18 เมตร ที่ถูกลักตัดไปจากดอนปู่ตา ซึ่งอยู่หลังวัดและโรงเรียนท้ายหมู่บ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยคนร้ายได้ทิ้งไว้เพียงแต่ตอไม้ และกิ่งที่เหลือเท่านั้น
นายสมศักดิ์ พรหมรินทร์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านสงเปือย ซึ่งเป็นผู้พบเห็นต้นไม้ที่ถูกลักตัดเป็นคนแรก กล่าวว่า เมื่อคืนก่อนเกิดเหตุตนพบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คันเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ดอนปู่ตาของหมู่บ้าน เป็นรถกระบะนิสสัน ฟรอนเทียร์ และรถกระบะอีซูซุ หลังจากเห็นตนก็กลับรถหนีไปได้ 1 คัน
แต่ปรากฏว่ารถกระบะนิสสันหมายเลขทะเบียน ฒศ 9754 กทม. ที่มีผ้าใบคลุมกระบะหลังรถ เกิดติดหล่ม คนในรถ 2 คนจึงเรียกขอความช่วยเหลือ ตนจึงได้เรียกชาวบ้านมาช่วยเข็นเอารถขึ้นจากหล่ม โดยในขณะที่ช่วยเอารถขึ้นเกิดเอะใจเลยใช้กล้องโทรศัพท์ถ่ายภาพรถไว้ ก่อนที่จะช่วยเอารถขึ้นแล้วขับหนีไปจากหมู่บ้าน
ต่อมาตนฉุกคิดได้และสงสัยจึงมาดูรอบๆ ป่าพบว่าต้นไม้พะยูงต้นดังกล่าวโดนลักตัดและขนออกไป และคาดเดาว่ารถทั้ง 2 คันที่พบน่าจะเกี่ยวข้องกับขบวนการลักตัดต้นไม้ต้นดังกล่าวก็เป็นไปได้ จึงแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบและร่วมกันตรวจสอบ
นายสุบรรณ แก้วพล ผู้ใหญ่บ้านบ้านสงเปลือย กล่าวว่า เชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นขบวนการลักตัดไม้พะยูงที่อาละวาดอยู่ทั่วไปในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และลักตัดไม่เว้นแต่ละคืน และเชื่อว่ารถ 2 คันที่พบน่าจะเป็นขบวนการตัดไม้ที่มาดูลาดเลา จากนั้นอาศัยช่วงที่ฝนตกในเวลากลางคืนย้อนกลับมาตัดไม้กลางดึกแล้วขนหนีไปอย่างรวดเร็ว
พวกตนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และภาพถ่ายที่น่าสงสัยเตรียมเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานเพื่อสืบหาคนร้ายมาดำเนินคดี และป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูงในดอนปู่ตาเพิ่มเติมอีก เพราะยังมีอีกจำนวนมาก
และเป็นห่วงว่าคนร้ายกลุ่มนี้จะย้อนกลับมาลักลอบตัดต้นพะยูงที่เหลือในป่าที่ลึกเข้าไปอีก ซึ่งแต่ละต้นเป็นไม้ขนาดใหญ่ขนาด 2 คนโอบและสูงกว่า 20 เมตร และจากนี้ไปจะมีการเรียกประชุมชาวบ้านเพื่อจัดตั้งเวรยามผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าทางเข้าออกหมู่บ้านทุกด้าน เพื่อเฝ้าระวังคนแปลกหน้าและรถยนต์ต่างถิ่นตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรักษาต้นไม้ไว้
พร้อมกันนั้นก็ขอวิงวอนผ่านสื่อขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน หรือหากพึ่งไม่ได้ชาวบ้านก็อยากหวังพึ่งหน่วยทหาร ให้ช่วยมาเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในการร่วมกันคุ้มครองรักษาต้นไม้ไม่ให้ถูกลักตัดอีกต่อไป