ประจวบคีรีขันธ์ - จนท.โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบริเวณสภาพป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อม จนท.อุทยานฯ กุยบุรี จุดธูปสาบานไม่เกี่ยวข้องต่อการตายของช้างป่าตัวล่าสุดที่ตายในโครงการพระราชดำริ และร่วมกันเผาพริกเกลือสาปแช่งผู้ที่เกี่ยวข้องวางยาฆ่าช้างป่าจนตาย พร้อมเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน สภ.ยางชุม ล่าสุด ตำรวจส่งผงสีฟ้าในถุงพลาสติกไปตรวจสอบที่สถาบันนิติเวชแล้ว
วันนี้ (14 พ.ค.) ที่บริเวณจุดฝั่งซากช้างป่าโครงการพระราชดำริฯกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายสาธิต ปิ่นกุล หัวหน้าโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพบริเวณป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายประวัติศาสตร์ จันทร์เทพ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี นำเจ้าหน้าที่เกือบ 50 นาย และ ดร.กาญจนา นิตยะ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ สำนักอนุรักษ์อนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ พร้อมสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสุภาพสัตว์ จากสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ กรมปศุสัตว์
ร่วมกันจุดธูป และดื่มน้ำสาบานยืนยันความบริสุทธิ์ใจต่อหน้าพระแก้วมรกต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยเคารพบูชาว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตายของช้างสีดอ เพศผู้ อายุ 8 ปี ที่พบเสียชีวิตอยู่ใต้ต้นข่อยใหญ่ ภายในโครงการพระราชดำริฯ เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา
จากนั้นได้ร่วมกันเผาพริกเผาเกลือ และถั่วเขียวเพื่อสาปแช่งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการวางยาฆ่าช้างป่าจนตายอย่างทรมาน เพราะเลือดออกทางปากทางทวารดังกล่าว และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ที่กระทำผิดในครั้งนี้ได้โดยเร็ว
นายสาธิต ปิ่นกุล หัวหน้าโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพบริเวณป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนทั้งในส่วนของโครงการพระราชดำริฯ และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ทำงานร่วมกันมานาน และอยู่กับสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่า จึงไม่เหตุผลใดๆ ที่จะเกี่ยวข้องกับการวางยาฆ่าช้างป่าได้ ขณะนี้มีกระแสข่าวต่างๆ นานา ต่อการตายของช้าง ทำให้เจ้าหน้าที่เกิดแรงกดดัน แต่ยืนยันได้ว่า เจ้าหน้าที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามผู้ที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้มาให้ได้โดยเร็ว
โดยในวันนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้เข้าให้ปากคำต่อ พ.ต.ท.ธีระ สูงยิ่ง พนักงานสอบสวน สภ.บ้านยางชุม จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อนำไปสู่การติดตามจับกุมคนร้าย โดยมี พ.ต.อ.ปรีชา กลัดสวัสดิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรประจวบคีรีขันธ์ ร่วมสอบปากคำด้วย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุมีรถยนต์กระบะ ตอนเดียว สีแดง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เข้าไปในพื้นที่โครงการพระราชดำริฯ โดยที่ไม่ทราบวัตถุประสงค์ โดยจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามผู้ที่อยู่ในรถคันดังกล่าวมาให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในทางคดี ซึ่งช้างป่าตัวดังกล่าวไม่ได้ตายตามธรรมชาติ โดยมีเลือดออกที่ปากและทวาร
อีกทั้งทีมสัตวแพทย์ได้ผ่าซากช้างพบเม็ดมะม่วงเปื้อนผงสีฟ้าอยู่ภายในกระเพาะอาหาร จำนวน 5 เม็ด ปนอยู่กับหญ้า และอาหารอื่นภายในกระเพาะอาหาร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรอผลการตรวจพิสูจน์สารสีฟ้า ที่คาดว่าน่าจะเป็นยาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าหญ้าชนิดหนึ่งก่อนจึงจะสามารถดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไปได้ โดยเรื่องนี้ได้มีการแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ส่วนชิ้นเนื้อ และวัตถุที่ได้จากซากช้างป่ากุยบุรี โดยเฉพาะเม็ดมะม่วงเปื้อนผงสีฟ้า จำนวน 5 เม็ดนั้น ในวันนี้ได้มีการส่งตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจยังห้องแล็บที่สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ และมหาวิทยาลัยมหิดลในเย็นวันนี้ คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
ส่วนหลักฐานที่เป็นถุงพลาสติกบรรจุผลสีฟ้าที่เก็บได้บริเวณต้นมะม่วงในโครงการพระราชดำริ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งไปตรวจสอบว่าเป็นสารประเภทใดที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์อีกครั้ง ถึงแม้เบื้องต้นจะรู้แล้วว่าเป็นยาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าหญ้าชนิดหนึ่งก็ตาม
ส่วนที่บริเวณต้นมะม่วง ซึ่งเป็นจุดที่พบมีมะม่วงตกร่วงหล่นพื้นประมาณ 150 เมตร จากจุดที่พบช้างป่าตายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เข้าไปเก็บมะม่วงที่มีร่องรอยการใช้ของมีคมฟันและพยานแวดล้อมในจุดดังกล่าวส่งตรวจแล้วเช่นกัน