พระนครศรีอยุธยา - เพลิงรุกไหม้บ่อขยะเทศบาลนครกรุงเก่าเริ่มสงบ ขณะที่ จนท.กรมอนามัยลงพื้นที่สำรวจน้ำในแหล่งน้ำรอบบ่อขยะเพื่อจะหาสารโลหะหนักและเชื้อแบททีเรียที่อาจปนเปื้อนมาจากขยะที่ถูกเพลิงรุกไหม้ ด้านผู้ว่าฯ อยุธยา ระบุขณะนี้สามารถควบคุมเปลวไฟและไฟครุกรุ่นในบ่อขยะได้ร้อยละ 95 ย้ำเอาจริงผู้เผาตอซัง
วันนี้ (5 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ไฟไหม้กองภูเขาขยะของเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา หมู่ 8 ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา บนเนื้อที่ 32 ไร่ ซึ่งมีระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตรผ่านเข้าสู่วันที่ 3 เจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าระดมฉีดน้ำเพื่อควบคุมกลุ่มควันที่ยังหลงเหลืออยู่ในบ่อขยะ
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่สำรวจบ่อขยะของผู้สื่อข่าวในวันนี้ พบว่าสถานการณ์ล่าสุดเพลิงสงบลงแล้ว ยังคงเหลือเพียงกลุ่มควันเป็นจุดๆ ที่เจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้านำน้ำเข้าไปฉีดเพื่อดับควันอยู่เท่านั้น พร้อมกับน้ำเครื่องจักรหนักอย่างเช่นรถแม็กโครเข้ามาช่วยในการตักกองขยะเพื่อเปิดทางจากขยะที่ทับถมกันเพื่อนำน้ำเข้าไปดับกลุ่มควันที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ดับสนิท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังนำแม็กโคร เร่งทำการขุดลอกทางน้ำเพื่อนำน้ำผ่านเครื่องสูบที่ติดตั้งไว้รอบบ่อตรงจุดที่เกิดเพลิงไหม้ด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่จากกรมอนามัยลงพื้นที่ภายในบริเวณบ่อขยะเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำรอบๆ บ่อขยะ รวมถึงชุมชนใกล้เคียงที่มีทางน้ำไหลผ่านเพื่อจะหาสารโลหะหนักและเชื้อแบททีเรียที่อาจปนเปื้อนมาจากขยะที่ถูกเพลิงรุกไหม้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่จะต้องเก็บตัวอย่างน้ำทุกวันตลอดสัปดาห์เพื่อความปลอดภัยกับประชาชนเนื่องจากพบว่ายังมีประชาชนบางส่วนใช้น้ำตามแหล่งน้ำในชีวิตประจำวัน
ด้านนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดในการแก้ไขปัญหาไฟไหม้บ่อขยะ ที่ ต.บ้านป้อมว่า สามารถควบคุมได้แล้วร้อยละ 95 และเชื่อว่าภายในวันนี้จะควบคุมควันไฟได้ทั้งหมด
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ล่าสุด เปลวไฟไม่มีแล้ว จะมีเหลือก็แค่ควันไฟจากด้านทิศใต้ยังคงครุกรุ่นอยู่ด้านในเท่านั้น ส่วนประชาชนที่อยู่บริเวณรอบบ่อขยะนั้น ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกตรวจสภาพอากาศและให้คำแนะนำ พร้อมกับจัดอาหารให้แล้ว เนื่องจากชาวบ้านไม่สะดวกในการประกอบอาหาร รวมถึงผู้ป่วยก็ได้เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลประจำตำบล และผู้ที่ไม่ประสงค์อยู่ในบ้านพักให้ไปอาศัยอยู่ที่วัดกษัตราธิราชฯ
“จากการประเมินสาเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากเกษตรกรเผาตอซัง อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ยังพบเกษตรกรมีการคงเผาตอซังกันอยู่อีก และผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับกับผู้ที่กระทำผิดไปแล้ว ซึ่งหากครั้งต่อไปยังคงเผาอีกก็ให้ลงโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี ดังนั้น จึงขอฝากประชาชนว่าหากมีการเผาตอซังในที่โล่งแจ้ง จนเกิดควันรบกวนผู้อื่น หรือสร้างผลกระทบต่อประชาชนอีกก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที โดยจะนำเอากฎหมายด้านสาธารณสุข กฎหมายสิ่งแวดล้อมมาดำเนินคดีทันที” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวอีกว่า หากเกษตรกรยังคงเผาตอซังเพื่อเตรียมเพาะปลูกใหม่ ผลผลิตจะลดลง เนื่องจากดินที่ถูกเผาจะขาดสารอาหาร และไม่เหมาะสมในการเพาะปลูก จำเป็นต้องเพิ่มปุ๋ย ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะจะเกิดผลกระทบถึงรายได้ ผลผลิต และไม่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้