ฉะเชิงเทรา - ชาวบ้านทั้งในและนอกเขตพื้นที่ ยังพากันแห่เดินทางมามุงดู พิสูจน์หลุมยักษ์จากดินถล่มด้วยตาตนเองที่บริเวณกลางท้องนาบ้านสุเหร่าเกาะดอนอย่างต่อเนื่อง พลิกโฉมกลายสภาพจากจุดเกิดเหตุร้ายกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีผู้คนเข้าออกอย่างพลุกพล่าน
วันนี้ (1 พ.ค. 57) ผู้สื่อข่าวรายงานจากปากบ่อดินกลางท้องนาในหมู่บ้านสุเหร่าเกาะดอน ต.คลองเปรง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ได้มีประชาชนที่สนใจติดตามการนำเสนอข่าวผ่านทางสื่อมวลชนหลายแขนงในกรณีเหตุการณ์บ่อดินพังถล่ม ทำดินสไลด์ตัวไหลลงมาทับคนงานเสียชีวิต และเครื่องจักกลงานหนักถูกฝังจมอยู่ภายในก้นบ่อมากถึง 9 คัน ตั้งแต่เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 29 เม.ย. 57 ที่ผ่านมาเดินทางมาดูสถานที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่อง
โดยได้มีประชาชนทั้งจากในพื้นที่หมู่บ้านข้างเคียงจุดเกิดเหตุ ทั้งจากอำเภอต่างๆ ภายในตัวจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมไปจนถึงผู้ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด และผู้ที่ผ่านเข้ามาในเขต จ.ฉะเชิงเทรา ได้ต่างพากันอุ้มลูกจูงหลาน รวมทั้งยังมีพ่อแก่แม่เฒ่าพากันเดินทางเข้าไปดูเพื่อพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตนเองว่า ที่ดินซึ่งเคยเป็นท้องนาและสวนมะพร้าวเลียบรายทางจำนวนเกือบ 10 ไร่ และยังคงมีการพังทลายลุกลามขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ยุบและเคลื่อนตัวลงไปได้อย่างไร
ขณะที่หลายรายบอกว่าดูจากข่าวผ่านสื่อแล้วไม่น่าเชื่อ หรือบ้างก็บอกว่ามองเห็นจากภาพข่าวแล้วก็ยังดูไม่ชัดเจน จึงอยากที่จะเข้ามาดูให้ถึงยังที่เกิดเหตุเพื่อให้เห็นกับตาตนเอง โดยที่บางรายนั้นถึงกับนำเสื่อมาปูเพื่อจับจองพื้นที่เฝ้าดูกันตั้งแต่รุ่งเช้า เวลา 07.00 น. ที่ผ่านมา
นางสิน ขำดี อายุ 77 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 ม.3 ต.คลองเปรง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ชาวบ้านที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุมากนัก ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า อยากมาดูให้เห็นกับตาตนเองว่าที่เกิดเหตุนั้นอยู่ตรงไหน เพราะดูจากสื่อโทรทัศน์แล้ว มองไม่รู้เรื่องจับจุดไม่ถูก และเห็นได้แค่เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น ทั้งที่ในสมัยก่อนเคยผ่านพื้นที่ เดินทางไปมาอยู่เป็นประจำ จึงอยากเข้ามาดูให้ถึงจุดเกิดเหตุ
ขณะเดียวกัน จากแรงสั่นสะเทือนในบริเวณพื้นที่รอบข้างของจุดเกิดเหตุจากการที่คนงานได้พยายามขุดเปิดหน้าดินก้นหลุมออก เพื่อที่จะเก็บกู้ซากรถยนต์และเครื่องจักรกลงานหนักที่ยังคงจมอยู่ที่ก้นบ่อขึ้นมานั้นได้ทำให้ผืนดินรอบข้างเกิดการพังทลายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ
โดยมีการพังถล่มลงไปครั้งละประมาณ 2-3 เมตร และบางจุดพังลุกคืบลงไปเป็นก้อนใหญ่มากถึงเกือบ 10 เมตร แต่เมื่อเทียบกับบริเวณพื้นที่ ที่เกิดการพังทลายที่มีบริเวณกว้างขวางแล้วนั้น จึงทำให้สังเกตเห็นได้ไม่ชัด หากไม่ใช่ผู้ที่มาเฝ้าติดตามมุงดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้น ก็จะไม่ทราบว่าได้มีการพังทลายของดินเพิ่มเติมลงไปอย่างต่อเนื่อง
