ประจวบคีรีขันธ์...รายงาน
หม่อมเจ้าหญิงรังษี นักอนุรักษ์ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์กระทิง โครงการพระราชดำริ ถูกยิงตายที่ป่าเขาจ้าว วอนหยุดล่าสัตว์ ย้ำให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ลงพื้นที่ และให้ตำรวจสืบหาตัวผู้ลงมือล่ากระทิงให้ได้ ทีมสัตวแพทย์ระบุเนื้อกระทิงถูกแล่เอาไปเกือบ 800 กิโลกรัม พร้อมย้ำต้องเป็นกลุ่มผู้ล่าที่มีความชำนาญ ล่าสุด เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯ ตำรวจระดมลงพื้นที่สืบข้อมูลกลุ่มพรานประจวบฯ-เพชรบุรี
..........................................
กรณีกระทิงในโครงการฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่คาดว่าคงถูกกลุ่มนายพรานที่มีความเชี่ยวชาญ และล่าสัตว์ป่าเป็นประจำ ยิง ตัดหัว แล่เนื้อ และเผาในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี หมู่ 6 บ้านแพรกตะลุ้ย ต.เขาจ้าว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยุบุรี ที่ไปตั้งหน่วยคอเขาแหลมชั่วคราวออกลาดตระเวนไปพบซากกระทิงเข้าเมื่อ 2 วันที่ผ่านมานั้น
วันนี้ แม้จะมีรายงานจากทีมสัตวแพทย์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเดินทางเข้าไปพิสูจน์ซากกระทิงตัวดังกล่าว และเก็บตัวอย่างจากซาก ทั้งชิ้นเนื้อ หางกระทิง และกระดูก เพื่อไปตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการอีกทางหนึ่งเพื่อเป็นฐานข้อมูลถึงแม้จะชัดเจนแล้วว่า “เกิดจากการล่าก็ตาม”
โดยทีมสัตว์แพทย์ระบุด้วยว่า เนื้อกระทิงอย่างน้อย 700-800 กิโลกรัม ซึ่งถูกแล่หายไป รวมไปถึงหนังกระทิง 1 ซีกด้วย นอกจากนั้น ยังพบว่าจากการพลิกซากกระทิงอีกครั้งยังพบด้วยว่าการที่กลุ่มผู้ที่ล่ากระทิงในครั้งนี้น่าจะมีความเชี่ยวชาญ โดยดูจากการผ่ากระทิงเพื่อเข้าไปแล่เนื้อด้านใน และใต้ซากระทิงยังพบว่ามีแผ่นผ้าพลาสติกที่ถูกไฟไหม้ไม่หมดยังหลงเหลืออยู่ให้เห็น
จึงเป็นไปได้ว่ากลุ่มผู้ลงมือล่า ไม่ต้องการให้เนื้อกระทิงที่แล่ออกมาแล้วมีความสกปรกจึงต้องรองด้วยผ้ายางเอาไว้ ขณะเดียวกัน ยังพบเศษหนังกระทิงที่มีการกรีดเป็นเส้นๆ จำนวนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มผู้ล่าเก็บไปไม่หมด โดยมีชาวบ้านให้ความรูด้วยว่า อาจเป็นไปได้ว่าหนังกระทิงที่มีการกรีดเป็นเส้นๆ นั้นเพื่อนำไปตากแดด และสามารถเก็บไว้ได้นาน
ส่วนประเด็นเรื่องการเผานั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าการเผาเพื่อทำให้ซากแห้ง และไม่ส่งกลิ่นเหม็นออกไปยังภายนอก โดยเฉพาะบริเวณซากขากระทิงนั้นโดนความร้อนจากการซุมไฟเผา แต่ก็ยังทำให้สภาพเนื้อด้านในที่ใช้มีดกรีดออกมาเพื่อเก็บชิ้นเนื้อนั้นยังไม่ถึงกับเน่าทั้งๆ ที่ตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 วัน
อย่างน้อยกลุ่มผู้ที่ล่ากระทิงก็ต้องมีมากกว่า 2 คนขึ้นไปอย่างแน่นอน เพราะกระทิงตัวนี้น้ำหนักอย่างน้อยกว่า 1 ตันขึ้นไป 1-2 คนคงลำบากเพราะตัวใหญ่ และจะต้องมีความชำนาญผ่านการล่าสัตว์ และชำแหละเนื้อสัตว์ใหญ่ประเภทนี้มาแล้ว
ซึ่งเนื้อกระทิงอย่างน้อยกว่า 700 กิโลกรัมมันไม่ใช่น้อยเอาไปขาย หรือแบ่งกันไปกินเป็นสิ่งหนึ่งที่ทั้งฝ่ายตำรวจ อุทยานฯ คงต้องสืบหาข้อมูลให้ได้ต่อไป เพราะอาจเป็นกุญแจดอกสำคัญในการที่จะรู้ว่ากลุ่มผู้ล่าเป็นกลุ่มคนไทย หรือกลุ่มพรานกะเหรี่ยง หรือทั้ง 2 กลุ่มร่วมกัน
“ส่วนหัวที่ถูกตัดเอาไปเขาก็น่าจะมีความสวยงาม และต้องมีตลาดที่สามารถปล่อยของได้ทันที สนนราคาอาจอยู่ที่ 50,000-80,000 บาท ขึ้นอยู่กับตัวเขางามขนาดไหน” เจ้าหน้าที่ทีมสัตวแพทย์กรมอุทยานแห่งชาติฯ และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี พร้อมด้วยชาวบ้านในพื้นที่ระบุแก่ทีมข่าว “ASTVผู้จัดการออนไลน์”
แต่การพลิกซากพิสูจน์ในครั้งนี้ หลังจากทางตำรวจพิสูจน์หลักฐานประจวบฯ ได้ดำเนินการไปส่วนหนึ่งแล้วนั้น ในการพยายามหาหัวกระสุนปืนในบริเวณใกล้เคียงเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีนั้นทางนายสรัชชา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ สาขาที่ 3 เพชรบุรี ก็ยังไม่พบเพิ่มเติมแต่อย่างใด ซึ่งได้สั่งการให้นายประวัติศาสตร์ จันทร์เทพ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ซึ่งเพิ่งเดินทางมารับตำแหน่งได้จัดเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีส่วนหนึ่งออกไปติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวในหมู่บ้านใกล้เคียง
ทั้งแถวหุบผาก ป่าหมาก อำเภอสามร้อยยอด บ้านเขาจ้าว ปราณบุรี บ้านบึงนคร บ้านป่าละอู อำเภอหัวหิน และบ้านป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ถึงกลุ่มพรานล่าสัตว์เก่า และกลุ่มพรานใหม่ที่มีประวัติเรื่องการล่าสัตว์
นายสรัชชา กล่าวว่า เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวข้างต้นยังมีกลุ่มกะเหรี่ยง ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมปี 2552 เคยเกิดการยิงช้างป่ากุยบุรีเพื่อเอางาในพื้นที่หุบผาก โดยกลุ่มผู้ลงมือเป็นกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ออกลาดตระเวน และไปพบขณะกำลังขุดเอางาออกมา กลุ่มผู้ล่าจึงเอาไปไม่สำเร็จ และตำรวจมีการออกหมายจับนายสมบูรณ์ เวนะ ชาวกะเหรี่ยงในเวลาต่อมา ซึ่งปัจจุบันยังหลบหนีคดีอยู่
วันนี้ เรายังไม่รู้ว่ากลุ่มผู้ล่าเป็นกลุ่มไหนอย่างไร แต่ทางกรมอุทยานฯ ก็พยายามติดตามหาข้อมูล ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปราณบุรี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันแย่มากๆ
ขณะที่หม่อมเจ้าหญิงรังษีนภดล ยุคล กล่าวแสดงความรู้สึกเสียใจต่อปัญหาการล่ากระทิงในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยเฉพาะการยิง และตัดหัวเพื่อเอาเขาไป รวมทั้งการแล่เนื้อ ซึ่งทานหญิงฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบตั้งแต่พบซาก และมีการรายงานให้ทราบเป็นระยะนั้น เห็นว่าปัญหามันเกิดจากคนที่ทำให้สัตว์ที่หายากอย่างกระทิงต้องมาจบด้วยการถูกล่า ซึ่งก็ย้ำมาตลอด
โดยเฉพาะเมื่อวันช้างไทยที่ผ่านมา ก็ได้ย้ำขอให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ป่าทั้งช้าง และกระทิง เพราะเป็นสมบัติของชาติ ยิ่งทั้งช้าง และกระทิงส่วนหนึ่งออกมาจากพื้นที่โครงการพระราชดำริ มาหากินอยู่แถบสามร้อยยอด ปราณบุรี โดยเฉพาะช่วงนี้เกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ป่ากุยบุรี
“ท่านหญิง บอกตรงๆ พวกที่มันเข้ามายิงมาล่ากระทิงโครงการพระเจ้าอยู่หัว ท่านหญิงรับไม่ได้ และเสียใจที่สุด มันโหดเกินไปพวกที่ลงมือ และต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญในการล่าและแล่ จึงอยากฝากไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยเฉพาะท่านรักษาการอธิบดีกรมอุทยานฯ รวมไปถึงหน่วยทหาร ได้ช่วยลงมาติดตาม และดูแลปัญหาด้วย เพราะไม่อยากให้เกิดการล่าซ้ำขึ้นมาอีก ท่านหญิงยอมรับเป็นห่วงจริงๆ นอกจากนั้น อยากฝากให้ทางตำรวจเจ้าของท้องที่เกิดเหตุช่วยติดตาม และหาตัวผู้ที่ลงมือล่ากระทิงให้ได้โดยเร็ว”
ด้านนายศรีสวัสดิ์ บุญมา กำนันตำบลหาดขาม เครือข่ายกลุ่มองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี พร้อมกับบรรดาเพื่อนๆ กลุ่มอนุรักษ์ฯ ต่างแสดงความโกรธต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่มีกระทิงในผืนป่ากุยบุรีไปหากินในพื้นที่ปราณบุรี แต่กลับถูกล่า
“ผมมั่นใจว่ายังไงก็ต้องเป็นพวกพรานที่ชอบล่าสัตว์ที่ยังหลงเหลือยู่แต่มันก็บ่บอกว่าวันนี้ ยังมีการลักลอบล่าสัตว์ป่าอยู่ในพื้นที่แถบนี้ วันนี้ผมอยากให้ทางเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และตำรวจปราณบุรี ที่รับผิดชอบช่วยติดตามกลุ่มที่ลงมือยิงกระทิง มาดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยเร็ว พวกเราเครือข่ายอนุรักษ์สัตว์ป่าฯ เห็นกระทิงตายมา 24 ตัวจากโรคแล้ว ต้องมาเจอกับการสูญเสียกระทิงจากน้ำมือมนุษย์พวกพราน พวกเรารู้สึกโกรธ”
ขณะเดียวกัน นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยอมรับว่า ปัญหาการล่าสัตว์ป่าในพื้นที่หายไปหลายปี ซึ่งเมื่อมาเกิดขึ้นกับกระทิง ประเด็นสำคัญตำรวจต้องมีการเร่งรัดในการที่จะต้องมีหน้าที่สืบหาตัวกลุ่มผู้ที่ลงมือยิงกระทิงมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว เพราะยิ่งพวกนี้ยังลอยนวลอยู่ สัตว์ป่าอาจต้องตกเป็นเหยื่อต่อไป
โดยเฉพาะปริมาณทั้งช้าง และกระทิง อย่างน้อยในพื้นที่มีมากกว่า 400 ตัว อีกทั้งทางกรมอุทยานแห่งชาติ ก็คงต้องให้ความสำคัญต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยต้องจัดชุดเฉพาะกิจลงมาร่วมติดตามหาข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ว่าเป็นกลุ่มใดที่ลงมือ รวมไปถึงการเพิ่มมาตรการความเข้มข้นในการออกลาดตระเวนพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกล่า
“อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ก็คงต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ และควรชี้เบาะแส และแจ้งข้อมูลของขบวนการกลุ่มพรานล่าสัตว์ป่าให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ เพื่อนำไปสู่การคลี่คลายคดีการล่ากระทิงให้ได้โดยเร็ว”
ดังนั้น วันนี้บทสรุป และการควานหาตัวกลุ่มที่ล่ากระทิงโครงการพระราชดำริ คงต้องฝากความหวังไว้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปราณบุรี และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี รวมไปถึงกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านที่จะร่วมกันคลี่คลายคดีดังกล่าวให้ได้โดยเร็ว
เพราะมิฉะนั้นแล้ว ปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ป่าโดยเฉพาะช้าง และกระทิงสัตว์ที่เราๆ ท่านๆ ช่วยกันอนุรักษ์ ในอนาคตอาจเกิดการล่าขึ้นอีกก็ได้ จึงไม่อยากเห็นคดีนี้เป็นเสมือนเช่นคดีล่าช้างเอางาที่เกิดขึ้นใน “หุบผาก” เมื่อหลายปีที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถจับกุมนายสมบูรณ์ เวนะ ได้จนถึงปัจจุบันนี้