เชียงราย - ชาวบ้านริมน้ำกกอ่วม หลังรวมตัวต้านท่าทราย เจอฟ้องกราวรูดทั้งข้อหาบุกรุก และฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายกว่า 20 ล้าน ล่าสุดอนุกรรมาธิการ สวล.ลงพื้นที่แนะหาทางออกร่วมผู้ประกอบการ แต่กลุ่มชาวบ้านไม่รับ ยันสู้ถึงที่สุด ล่าสุดลงขันคนละหมื่นจ้างทนายสู้
นางภาวดี จงสุขธนามณี ประธานคณะอนุกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้นำคณะลงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำกก บ้านสันธาตุ ม.4 ต.โยนก อ.เชียงแสน หลังจากที่ชาวบ้านออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการกลับมาเปิดกิจการท่าทราย ติดแม่น้ำกก 2 แห่ง คือ ท่าทรายโยนก และท่าทรายศรีลังกา จนถูกท่าทรายแห่งหนึ่งฟ้องร้องดำเนินคดีต่อชาวบ้านข้อหาบุกรุก หมิ่นประมาท และล่าสุดมีการฟ้องแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 20 ล้านบาทด้วย
คณะได้ลงพื้นที่ท่าทรายทั้ง 2 แห่งซึ่งตั้งอยู่ติดกับหมู่บ้าน พบว่าขณะนี้ท่าทรายทั้ง 2 แห่งไม่มีการขุดตัก หรือสูบทรายจากแม่น้ำกกแล้ว เนื่องจากเมื่อชาวบ้านออกมาคัดค้าน ทำให้ทางจังหวัดไม่ต่อใบอนุญาตให้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 56
จากนั้นคณะนางภาวดีได้เดินทางไปรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่วัดสันธาตุ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ด้วย ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่นำโดย นายคำมี ทาทิพย์ ผู้ใหญ่บ้านสันธาตุ และตัวแทนอีกหลายคน ให้ความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่าท่าทรายดังกล่าวทำให้ถนนภายในหมู่บ้านเสียหาย ตลิ่งพังทลาย ขวางทางน้ำเพื่อการเกษตร ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการจราจร ฯลฯ ที่ผ่านมาได้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน และเคยออกมาชุมนุมประท้วง
เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ชาวบ้านก็เข้าไปดูด้วย ปรากฏว่าถูกเอกชนฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวน 27 คน และทางผู้ประกอบการก็ยังคงมีการขนทรายออกจากบริเวณท่าทรายซึ่งเหลืออยู่เป็นประจำเหมือนเดิม ชาวบ้านจึงต้องการให้มีการยุติกิจกรรมอย่างถาวร
ด้านนายทรงกรด ดวงหาคลัง ผอ.สำนักงานเจ้าท่าที่ 1 สาขาเชียงราย กล่าวว่า การขออนุญาตประกอบการท่าทรายต้องผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 13 หน่วยงาน ทางเจ้าท่าก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการด้วย ต่อมาเมื่อชาวบ้านเรียกร้องให้หยุดประกอบการทางคณะกรรมการก็ไม่มีการต่อใบอนุญาตให้กับท่าทรายทั้ง 2 แห่งอีก หรือระงับไว้ชั่วคราว ทำให้ทางเจ้าท่าฯ เข้าตรวจเข้มงวด แจ้งให้ยุติการดูดทราย นำเรือชิดฝั่ง และให้ถอนท่อดูดออกจากแม่น้ำ ซึ่งจนถึงปัจจุบันไม่พบมีการฝ่าฝืน จากนั้นก็จะรอผลการแก้ไขปัญหาต่อไป เพราะก่อนหน้านี้มีการรับปากจะก่อสร้างทางเบี่ยงเพื่อไม่ให้ขนทรายผ่านหมู่บ้าน แต่ยืดเยื้อจนเกิดเป็นคดีความและชาวบ้านก็ไม่ยินยอมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการประสานกับสำนักงานที่ดิน, อุทกวิทยา ฯลฯ ตรวจสอบว่าท่าทรายน้ำกกมีการรุกล้ำที่สาธารณะด้วยหรือไม่
ด้านนางภาวดีพยายามชี้ให้ชาวบ้านหาทางออกของปัญหากรณีที่มีการฟ้องร้องคดีบุกรุก ก่อนถึงกำหนดไกล่เกลี่ยที่ศาล จ.เชียงราย ครั้งที่ 2 ในช่วงเดือน ธ.ค. 56 นี้ ซึ่งชาวบ้านต่างปฏิเสธว่าจะไม่ไปร่วมไกล่เกลี่ยด้วย และพร้อมจะสู้คดี โดยได้รวบรวมเงินจ้างทนายความรายละ 10,000 บาท รวมทั้งหมด 270,000 บาท จ่ายให้ทีมทนายความแล้วจำนวน 100,000 บาท
ขณะที่คณะจากคณะอนุกรรมาธิการฯ เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบที่สาธารณะอย่างละเอียด โดยเฉพาะที่จะมีผลต่อคดีที่ชาวบ้านถูกฟ้องข้อหาบุกรุกด้วย เพราะหากชาวบ้านเข้าไปในพื้นที่สาธารณะอยู่แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการบุกรุก รวมทั้งขอให้มีการตรวจสอบการขออนุญาตการขุดทรายทางบกว่าท่าทรายฯ ได้ดำเนินการหรือไม่ เพราะการขออนุญาตขุดทรายทางแม่น้ำกกไม่มีการต่อใบอนุญาตให้ชั่วคราวไปแล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีการขนทรายออกมาอีก
นางภาวดีกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมาธิการฯ จะได้รวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายเพื่อนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอให้ข้อคิดว่ากิจการหลายอย่างที่เกิดขึ้นใกล้ชุมชนนั้นย่อมจะต้องก่อให้เกิดปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย จึงขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเจรจาหารือ หรือหาแนวทางที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรเท่านั้น จึงหวังว่ากรณีนี้จะมีการแก้ไขปัญหาร่วมกันในอนาคตต่อไป