พม.เร่งเยียวยา “ผู้ปกครอง-นักเรียน” โดนตุ๋นเรียนต่อไต้หวัน ประสาน “ตำรวจ-ดีเอสไอ” ทำคดี

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - พม.นำคณะขึ้นเชียงใหม่ รับฟังข้อมูลผู้ปกครอง-นักเรียนที่โดนตุ๋นไปเรียนต่อ ป.ตรีที่ไต้หวัน ยันเตรียมให้ความช่วยเหลือ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเยียวยา ส่วนเรื่องคดีให้ตำรวจภูธรเชียงใหม่-ดีเอสไอดำเนินการ

กลุ่มผู้ปกครองและนักเรียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการส่งเสริมนักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่ประเทศไต้หวัน เข้าพบคณะจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และตำรวจจากกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ วันนี้ (21 ต.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ โดยคณะจาก พม.เตรียมที่จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเงินค่าใช้จ่ายรายละ 40,000 บาท ซึ่งกลุ่มผู้ปกครองได้ชำระให้แก่มูลนิธิการศึกษาจากประเทศไต้หวันกลับคืนมา ขณะที่ตำรวจเตรียมสืบสวนกรณีดังกล่าว หลังจากเห็นว่าอาจเข้าข่ายการฉ้อโกง

การพบปะและหารือระหว่างกลุ่มผู้ปกครองและนักเรียนกับคณะจาก พม. ซึ่งนำโดยนางเสาวนีย์ โขมพัตร รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. นางมยุรี ยกตรี พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ และตำรวจจากกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นำโดย พล.ต.ต.กริช กิตติลือ ผบก.ภ.จว. มีขึ้นหลังจากที่กลุ่มผู้ปกครองและนักเรียนได้เข้าร้องเรียนต่อนางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดยการหารือวันนี้ได้มีการนำเสนอความเป็นมาของเหตุการณ์จากตัวแทนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 ผู้ปกครองและนักเรียน พร้อมทั้งแนวทางการแก้ไข ได้แก่ การจัดส่งนักเรียน 29 คนไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน และการเตรียมจัดตั้งกองทุนเยียวยานักเรียนที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น

ขณะเดียวกันยังได้ให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงรวบรวมข้อมูลเอกสาร และสอบถามข้อมูลจากกลุ่มผู้ปกครองและนักเรียนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป โดยเบื้องต้นจะให้สำนักงานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่นำเงินงบประมาณมาช่วยผู้ปกครองและนักเรียนที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ ซึ่งประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อไป

นางเสาวนีย์ โขมพัตร รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวมีผู้ปกครองและนักเรียนได้รับความเสียหายกว่า 200 ราย เป็นเงินกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งหลังจากทราบความเดือดร้อนทางกระทรวงจึงได้จัดคณะเดินทางมารับฟังข้อมูล พร้อมทั้งประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ปัญหาให้แก่ผู้ปกครองและนักเรียน โดยในส่วนของเงินค่าใช้จ่ายรายละ 40,000 บาทที่จ่ายให้มูลนิธิการศึกษาจากประเทศไต้หวัน ต้องติดตามร่วมกับทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 เพื่อนำมาคืนให้ผู้ปกครองและนักเรียนให้ได้

ขณะเดียวกันก็จะมีการพิจารณาหาทางช่วยเหลือเยียวยาในด้านอื่น เช่น การจัดหาสถานที่เรียนให้ รวมถึงการประสานตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อสืบสวนและดำเนินคดี

ขณะที่ พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ พม. ระบุว่า จากข้อมูลที่ได้รับเข้าข่ายการหลอกลวงและฉ้อโกง ซึ่งจะรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ และจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ พม.เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน

ด้าน พล.ต.ต.กริช กิตติลือ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ตำรวจจะเร่งตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารว่ามีใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งจะเชิญผู้ปกครองและนักเรียนมาให้ปากคำ ทั้งนี้ คดีดังกล่าวถือว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการตามกฎหมายได้ ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ส่วนกรณีการทำงานที่อาจะซ้ำซ้อนกับดีเอสไอนั้นเชื่อว่าไม่มีปัญหา หากดีเอสไอต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็ประสานงานกันได้

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากผู้ปกครองและนักเรียนในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงได้ออกมาร้องเรียนว่าถูกหลอกลวงจากมูลนิธิการศึกษาจากประเทศไต้หวัน นำโดย Mr.Chu Chi Ping หรือ Peter Chu ซึ่งแจ้งข้อมูลผ่านทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 ว่ามีโครงการส่งเสริมนักเรียนไทยไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่ประเทศไต้หวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนจบการศึกษา ควบคู่กับการฝึกปฏิบัติงานในสถานประกอบการโดยมีค่าตอบแทนในระหว่างการทำงาน

ซึ่งในเบื้องต้นทางมูลนิธิระบุว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจำนวน 40,000 บาทต่อราย โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 ได้ประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวออกไป และมีนักเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก

แต่ในเวลาต่อมานักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดไม่สามารถเดินทางไปศึกษาต่อได้ เนื่องจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ไม่ออกวีซ่าให้นักเรียนกลุ่มดังกล่าว และเมื่อมีการประสานเพื่อขอเงินค่าใช้จ่ายคืนจากทางมูลนิธิกลับไม่ได้รับคำตอบ ทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากสูญเสียโอกาส และไม่มีสถานที่เรียน ออกมาร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง