ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ตำรวจภาค 5 รวบเครือข่ายยาบ้าเชียงใหม่ หลังพบหัวหน้าเป็นนักโทษในเรือนจำเชียงใหม่แอบใช้โทรศัพท์มือถือโทร.สั่งซื้อขายยา ตามตรวจค้นยึดโทรศัพท์ได้ ขยายผลตามรวบสมาชิกทั้งคนเดินสายส่งยา-ลูกค้า หัวหน้าสารภาพซื้อมือถือต่อจากเพื่อนนักโทษ ก่อนใช้เป็นอุปกรณ์ประสานคนนอกคุก ด้านเรือนจำรับนักโทษล้นดูแลลำบาก เตรียมเร่งสอบที่มาโทรศัพท์หวังอุดรอยรั่ว
วันนี้ (10 ต.ค.)ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.กริช กิตติลือ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พล.ต.ต.ประจวบ วงศ์สุข ผบก.สส.ภ.5 และนายพิรุณ หน่อแก้ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งสั่งซื้อ และกระจายยาเสพติดผ่านการสั่งการของผู้ต้องหาในเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่
สืบเนื่องจากตำรวจสืบทราบว่า นายนคร หรือต๊ะ คำใส ซึ่งเป็นนักโทษชายในเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ มีพฤติกรรมสั่งซื้อขายยาเสพติดจากในเรือนจำผ่านทางโทรศัพท์มือถือ จึงได้ประสานกับเรือนจำกลางเชียงใหม่ติดตามดูพฤติกรรม ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ต.ค. เจ้าหน้าที่ได้ล่อซื้อยาบ้า 4,000 เม็ดจากนายนคร โดย นายนคร แจ้งให้โอนเงินค่ามัดจำ 40,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ของ น.ส.เปาจันทร์ บุญช่วย และนัดไปรับยาบ้า ที่บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สาขาแยกรวมโชคมีชัย จากนายเจมส์ ลุปาง และ น.ส.พวงผกา ลุงลู่ บุคคลต่างด้าวสัญชาติพม่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของนายนคร
เมื่อเจ้าหน้าที่พบบุคคลทั้ง 2 จึงได้ทำการจับกุมพร้อมยึดยาบ้า 4,000 เม็ดขณะเดียวกัน ยังพบยาบ้าในกระเป๋าของ น.ส.พวงผกา 2,000 เม็ด และขยายผลเข้าตรวจค้นห้องพักของบุคคลทั้ง 2 พบยาบ้าอีก 4,000 เม็ด รวมของกลาง 10,000 เม็ด จึงได้ประสานเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ ให้จู่โจมตรวจค้นที่พักของนายนคร พบโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และซิมการ์ด 3 หมายเลข
ขณะที่ผลการสอบสวนนายนคร รับสารภาพว่า เป็นผู้ติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์เพื่อซื้อขายยาเสพติดจริง โดยจะมอบหมายให้นายเจมส์ และน.ส.พวงผกา นำยาเสพติดไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ที่ได้นัดหมายกับลูกค้าไว้
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบยังจุดที่นายเจมส์ และน.ส.พวงผกา นำยาบ้าไปวางไว้ ประกอบด้วย หน้าร้านสะดวกซื้อ สาขาศรีบัวเงิน อ.เมือง สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ สาขาเจ็ดยอด อ.เมือง และห้องน้ำภายในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ สาขาสันพระเนตร อ.สันทราย เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา
พร้อมจับผู้ต้องหาที่มารับยาบ้าได้เพิ่มเติม ประกอบด้วย น.ส.ศรัญญา หรือวิว มาตา และนายภูวดล หรือแดน วงศ์สกุล ยาบ้า 400 เม็ด ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ สาขาศรีบัวเงิน และนายกัณฑ์ หรือแป้ง รังสี ยาบ้า 600 เม็ด ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขารวมโชค อ.สันทราย ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายพิรุณ หน่อแก้ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจับกุมผู้ต้องหาครั้งนี้ เป็นผลจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทราบว่ามีการลักลอบสั่งซื้อขายยาเสพติดผ่านทางเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ประสานทางเรือนจำติดตามพฤติกรรม และตรวจค้น
จากการสอบสวน นายนคร ให้การว่า โทรศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อประสานงานสั่งซื้อขายยาเสพติด ได้ซื้อต่อมาจากอดีตผู้ต้องหารายหนึ่ง ที่ปัจจุบันได้ย้ายไปรับโทษที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งหลังจากนี้จะสอบสวนเพิ่มเติมว่า มีการลักลอบนำโทรศัพท์ผ่านทางช่องทางใด และมีบุคคล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของเรือนจำเกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติดหรือไม่ เนื่องจากเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาให้การในลักษณะดังกล่าวเพื่อตัดตอนไม่ให้สืบสวนไปถึงเครือข่ายได้
ส่วนกรณีที่นักโทษของเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ ลักลอบใช้โทรศัพท์ในการติดต่อประสานงานซื้อขายยาเสพติดได้ ถือเป็นข้อผิดพลาดที่ทางเรือนจำต้องเร่งแก้ไข ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน นักโทษของเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่มีถึง 4,375 คน ยากที่จะดูแลได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งนับตั้งแต่ย้ายไปอยู่ ณ ที่ตั้งในปัจจุบัน ก็ยังไม้มีการติดตั้งระบบตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยยังอยู่ในระหว่างรอการจัดหาของกรมราชทัณฑ์
อย่างไรก็ตาม เรือนจำไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว และที่ผ่านมา มีการย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่แล้ว 6 ราย หลังมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด หรือจัดหาสิ่งของผิดกฎหมายให้แก่ผู้ต้องหา หลังจากนี้จะเน้นการประสานข้อมูลข่าวร่วมกับตำรวจ และ ป.ป.ส.อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวอีก
ขณะที่ นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จะได้ประสานกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการติดตั้งระบบตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือโดยเร็ว รวมทั้งจะหารือกับตำรวจ และเรือนจำ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบผู้ต้องขัง ทั้งการตรวจค้นตามปกติ และการตรวจค้นแบบจู่โจม
ด้าน พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ. 5 กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ต้องการลดจำนวนผู้ซื้อยาเสพติด ด้วยการเพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามผู้ค้าทุกระดับ ขณะเดียวกัน จะเน้นสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดสามารถชำระค่ายาเสพติดได้ ด้วยการตรวจสอบความเส้นทางความเคลื่อนไหวทางการเงินของผู้ต้องสงสัย และการทำธุรกรรมต่างๆ อย่างเข้มข้น ทั้งนี้ หากสามารถสกัดไม่ให้ผู้ค้ายาเสพติดชำระเงินค่ายาเสพติดได้ เชื่อว่าจะทำให้ปริมาณการซื้อขายยาเสพติดในท้องตลาดลดลงแน่นอน
