ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - อดีตสายลับนำจับยาเสพติดตั้งแต่ยุค “รัฐบาลแม้ว” หอบเอกสารร้องสื่อซ้ำ ยันเมียถูก 4 ตร.ชั่ว ลูกน้องพ่อค้ายาชายแดนลาว “ก.” ฉุดข่มขืนกลางวันแสกๆ หลังทำเรื่องทวงเงินนำจับ บอกยุค “ฆ่าตัดตอน” เห็น ตร.อุ้มพ่อค้ายารีดเงินคาป้อม พอไม่ได้หิ้วฆ่าทิ้งที่สะพานข้ามน้ำสาย 2 มาแล้ว เผยร้องทั้ง “แม้ว-ปู-เหลิม” เรื่องยังเงียบ
วันนี้ (17 ก.ค.) นายสุภชัย หรือต๋อง (สงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี อดีตสายลับนำจับยาเสพติดชาวสุโขทัย ได้นำเอกสารหลักฐานประกอบด้วย บัตรประจำตัวผู้สนับสนุนการปฏิบัติการด้านการข่าว เอกสารยืนยันการเป็นสายลับ ปปง. เอกสารร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ สมุดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานสายลับ ใบปลิวข่มขู่ และโทรศัพท์มือถือ ที่มีข้อความ SMS ส่งมาข่มขู่ครอบครัว ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชนอีกรอบ หลังก่อนนี้ได้ปีนเสาโทรศัพท์ร้องขอพบผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย จนเป็นข่าวดังเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
นายสุภชัยเปิดเผยว่า อดีตเคยเป็นครูผู้ช่วยสอนนักศึกษามา 7 ปี ก่อนลาออกมาค้าขายแถวชายแดน จ.เชียงรายอยู่นานประมาณ 17 ปี จนในปี 2544 ได้สมัครเป็นสายลับนำจับยาเสพติดทำงานให้ตำรวจอยู่ 6 เดือน ก็ย้ายมาสังกัดศูนย์อำนวยการร่วม 108 (ศอร.) กองบัญชาการทหารสูงสุด
โดยในปี 2547 ตนเป็นสายนำจับยาบ้า มีการขยายผลและยึดของกลางได้ 800,000 เม็ด ตามระเบียบต้องได้เงินสินบนประมาณ 560,500 บาท แต่ทว่าตำรวจเบิกมาจ่ายให้เพียง 15,000 บาท จึงร้องเรียนไปยังกระทรวงยุติธรรม ถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวง และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้ลงนามรับเรื่อง และสั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนทำให้มีการเจรจาและยอมจ่ายเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 38,750 บาท
ต่อมาในเดือนธันวาคม 2547 ทางเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.น.6 ก็ได้เรียกให้ตนไปรับเงินอีก 125,000 บาท จึงยุติเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ซึ่งทุกอย่างควรจะจบ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะในปี 2548-2550 ย้ายสังกัดมาอยู่กับทหารหน่วยรบพิเศษ ซึ่งทำงานร่วมกับ ป.ป.ส. ตลอดระยะช่วงปีนั้นตนและครอบครัวถูกดาบตำรวจ “ศ.” กับพวกที่เคยทำงานร่วมกันตามมาข่มขู่คุกคามตลอดเพราะแค้นที่ตนฟ้องเอาเงินสินบนจากนายเขา มีทั้งความพยายามอุ้มฆ่า ทวงปืนที่เคยมอบให้ใช้ทำงานคืน และเปลี่ยนรถขับมาวนเวียนรอบบ้านนับสิบๆ ครั้ง แต่รอดมาได้เพราะยังมีทหารคุ้มครองอยู่
นายสุภชัยเผยด้วยความคับแค้นใจอีกว่า เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 ในพื้นที่ สภ.แม่สาย จ.เชียงราย ขณะที่ภรรยาของตน ซึ่งเป็นคนผิวขาวหน้าตาดี ตอนนั้นอายุ 34 ปี ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียน และอยู่ประชุมผู้ปกครองจนเที่ยงวันก็จะกลับบ้าน ระหว่างทางตรงด่านเถื่อนรีสอร์ตร้าง ได้มีชายฉกรรจ์ 3 คนใส่แว่นตาดำ สวมหมวกแก๊ป ยืนโบกให้จอดรถ
“เมียผมคิดว่าเป็นตำรวจจึงจอดให้ตรวจค้น แต่คนพวกนั้นถามว่าเป็นเมียไอ้ต๋องใช่มั้ย แล้วก็ล็อกแขนดึงหมวกกันน็อกออก ก่อนใช้ผ้าปิดตา และกระชากขึ้นรถปิกอัพแค็บไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับไปยังเส้นทางเหมือนเป็นทางขึ้นดอยประมาณ 10 นาทีก็ถึง พวกมันลากเมียผมขึ้นไปบนห้องชั้นสองของบ้าน ใช้ปืนจ่อหัวบังคับให้ถอดเสื้อผ้า เธอไม่ยอมจึงถูกเตะต่อยจนเลือดกบปาก บาดเจ็บทั้งร่างกาย และจิตใจ”
นายสุภชัยเล่าทั้งน้ำตาว่า พวกมันมีไม่ต่ำกว่า 4 คนปิดตามัดมือเมียผมไขว้หลัง ผลัดกันข่มขืนตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่าย 3 โมงทั้งที่เมียผมมีประจำเดือน ทำเสร็จแล้วมันก็พูดเย้ยหยันก่อนลากตัวขึ้นรถมาส่งที่จุดเดิมโดยใช้เท้าถีบให้ตกจากรถยนต์ ปล่อยให้เมียผมขับรถไปรับลูกๆ ที่โรงเรียนต่อ เธอบอกว่าตอนอยู่ในรถถูกมัดมือมัดเท้า โดนตบด้วยปืนที่ใบหน้าพวกมันคิดว่าสลบ แต่เธอได้ยินเสียงวิทยุตำรวจเรียก ดาบ “ศ.” ดาบ “ค.” ถึงไหนแล้ว และในห้องบนบ้านก็ได้ยินเสียงคนพูดโทรศัพท์ว่า “เป็นเมียไอ้ต๋องแน่นอนครับ พ่อเลี้ยง “ก.” ไม่ผิดตัวแน่”
นายสุภชัยระบุว่า ดาบ “ศ.” กับพวกเป็นลูกน้องของพ่อเลี้ยง “ก.” อายุ 44 ปี พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ซึ่งทำธุรกิจเรือขนส่งสินค้าบังหน้า และมีเมียน้อยชื่อ “ฐ.” อายุ 42 ปี คอยดูแลธุรกิจอยู่ฝั่งไทย มีบ้านหรูอยู่ที่เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และชลบุรี ส่วนเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดต่างๆ จะมีการโอนผ่านบัญชีธนาคารของบรรดาเมียพวกตำรวจนอกรีต 5 คน ก่อนนำออกมาซื้อทองคำแท่งขนกลับไปให้พ่อเลี้ยง “ก.”
พวกนี้ยังไม่สบโอกาสที่จะฆ่าตนได้จึงมาข่มขืนเมียแทนเพื่อแก้แค้น แล้วก็เอาใบปลิวมาทิ้งหน้าบ้าน ข้อความระบุว่า “มึงเคยทำอะไรกับคนอื่นเขาไว้บ้าง มึงนึกดูให้ดี กูสะใจ มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก ครั้งต่อไปอะไรจะเกิดมึงก็คอยดูก็แล้วกัน”
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2554-2555 ก็ยังมีการโทรศัพท์และส่งข้อความ SMS มาข่มขู่เย้ยหยันผมกับเมีย และลูกสาวอีกหลายสิบครั้ง เช่น ...เมียมึงแล้วติดใจว่ะ, ดีใจกับเมียมึงด้วยโว้ย 35 ปีแล้ว, จำได้ไหมวันนั้นสนุกแค่ไหน รวมทั้งมีข้อความถึงลูกสาวว่า น้องน้ำบอกพ่อให้หยุดได้แล้ว ไม่งั้นหนูจะโดนอย่างแม่เดี๋ยวจัดให้, น้องบอกให้พ่อหยุดได้แล้ว รู้นะว่าน้องขับรถไปทำงานคนเดียวอยากเป็นอย่างแม่หรือ เป็นต้น
นายสุภชัยกล่าวว่า หลังเกิดเหตุกับภรรยาก็ได้พากันไปร้องเรียนที่กองบังคับการตำรวจภูธร ภาค 5 มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี กระทรวงยุติธรรม และเคยยื่นหนังสือถึงมือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยื่นให้ที่วัดบางบอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยื่นให้ที่ จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปยื่นให้ที่ประเทศลาว และยังเคยไปร้องเรียนต่อหนังสือพิมพ์ใหญ่ สถานีโทรทัศน์ช่องดัง 2 ช่อง พร้อมส่งเอกสารหลักฐานให้นักเล่าข่าวชื่อดังด้วย แต่เรื่องก็เงียบหายไม่มีความคืบหน้า
“ผมได้รับการคุ้มครองพยานเมื่อ 1 สิงหาคม 2554 และถูกยุติการคุ้มครองเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555 เพราะเขาว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ครอบครัวผมยังโดนข่มขู่มาจากทางฝั่งลาวอยู่เลย”
อดีตสายลับชาวสุโขทัยกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องปัญหายาเสพติดของไทย ต่อให้มีการสั่งฆ่าคนค้าอีกเป็นแสนคนก็ไม่สามารถหยุดปัญหานี้ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการปราบปรามหลายคนคือผู้ค้า และอีกจำนวนมากคือผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมด้วย
“ในยุคสั่งฆ่าตัดตอน พวกตำรวจที่ทำกับเมียผมเคยไปอุ้มพ่อค้ายาบ้าที่เพิ่งพ้นโทษจากหน้าเรือนจำเอามาซ้อมรีดเงินที่ป้อม เมื่อไม่ยอมให้ก็เลยถูกอุ้มไปยิงทิ้งที่สะพานแห่งที่ 2 ก่อนยัดอาวุธปืน .38 และยาบ้าให้อีก 50,000 เม็ด และอีกนับสิบศพที่ถูกจัดฉาก ผมเคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมชอบข่มขืนสาวต่างด้าว และสาวค้ายาบ้าที่หน้าตาดีเพื่อแลกกับการปล่อยตัวอีกด้วย”
นายสุภชัยกล่าวว่า ขอกราบวิงวอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วยเรื่องคดีความของภรรยาตนด้วย เพราะรอความยุติธรรมมานานเกือบ 3 ปีแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
“ปัจจุบันเมียผมต้องคอยไปตรวจสุขภาพจิตเป็นระยะ นอนกลางคืนก็มักผวาและละเมอว่าอย่าทำหนู เวลาเครียดก็จะชอบแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ หรืออยู่มุมมืดๆ คนเดียว แต่ไม่ถึงขั้นเป็นบ้า จึงวอนนายกฯ ยิ่งลักษณ์เห็นใจด้วย ที่ต้องเดินสายไปร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนบ้า แค่ต้องการความยุติธรรม”
นายสุภชัยบอกอีกว่า ตนกับเมียก็เป็นคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่คนของรัฐทำกับครอบครัวตนเหมือนสิ่งไร้ค่า ไม่มีชีวิตจิตใจ ถ้าหากเป็นคนในครอบครัวท่านโดนย่ำยีบ้าง ท่านจะนิ่งเฉยหรือจะสู้จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ขอบคุณผู้ว่าฯ สุโขทัยที่เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไป
นายสุภชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนพูดทุกอย่างมีเอกสารหลักฐานตรวจสอบได้ ส่วนที่ทำใบปลิวคล้ายว่าตนก็ไม่ใช่คนดีนั้น ก็อาจใช่ในสายตาของพ่อค้ายาเพราะไปขัดผลประโยชน์ทำให้เขาต้องถูกจับ แต่ตนก็ไม่เคยค้ายา ไม่เคยเสพ ไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย และไม่เคยผิดลูกผิดเมียใคร ตนเป็นแค่สายลับนำจับยาเสพติด ซึ่งทำงานด้วยใจรักเท่านั้น
“ขอวิงวอนผู้มีอำนาจให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผมด้วย อย่าปล่อยให้คนชั่วแค่ไม่กี่คน ต้องทำให้องค์กรเสื่อมเสียภาพลักษณ์ และคนพวกนี้ก็เคยทำเรื่องชั่วช้ามามากมาย ควรดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด และถ้าคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ก็ให้มาสู้กันในศาลดีกว่า”