ศรีสะเกษ - คณะสงฆ์ศรีสะเกษแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง “หลวงปู่เณรคำ” แล้ว หากผิดจริงมีโอกาสถูกจับสึก เผยวัดป่าขันติธรรมพร้อมทุกด้านในการจัดตั้งเป็นวัดอย่างถูกต้องตาม กม. แต่เลือกตั้งเป็นสำนักสงฆ์เพราะมีช่องว่างทำให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบได้ยาก
เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (20 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ บรรยากาศภายในบริเวณวัดค่อนข้างเงียบเหงา มีประชาชนประมาณ 5 คนเดินทางมาจุดธูปเทียนกราบไหว้พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนพระสงฆ์ไม่มีออกมานอกบริเวณกุฏิของตัวเองแต่อย่างใด และมีคนงานหญิงจำนวน 2 คนกำลังจัดเก็บภาชนะเครื่องครัวของวัด ปฏิเสธที่จะตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าว โดยอ้างเพียงว่าไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต้องรอถามจากหลวงปู่เณรคำเอง
ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นายวิรอด ไชยพรรณนา ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จากกรณีที่สื่อมวลชนทุกแขนงได้เผยแพร่ภาพที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อย่างแพร่หลายนั้น เรื่องนี้ได้มอบเอกสารข้อมูลต่างๆ แก่พระครูวิสุทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุตแล้ว พร้อมทั้งได้ขอคำชี้แนะในการดำเนินการต่อไปด้วย ซึ่งล่าสุดคณะสงฆ์ศรีสะเกษฝ่ายธรรมยุตได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว โดยมีเจ้าคณะอำเภอกันทรารมย์เป็นประธาน เจ้าคณะตำบลกันทรารมย์เป็นกรรมการ และพระครูวัชระสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีสำราญ ในฐานะพระเลขาฯ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษฝ่ายธรรมยุต เป็นเลขานุการคณะกรรมการ
โดยจะมีการสอบสวนเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน กรณีภาพฉาวที่บุคคลหน้าเหมือนหลวงปู่เณรคำนอนอยู่กับสีกา รวมทั้งเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าผิดจริง มีความผิดถึงขั้นจับสึก โดยจะดำเนินการสอบสวนทันทีเมื่อหลวงปู่เณรคำเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งตนได้มอบเอกสารการขอตั้งวัดป่าขันติธรรมที่เคยได้มีการดำเนินการไปแล้วแก่คณะสงฆ์ด้วยเพื่อขอให้ทำการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ ยังไม่สามารถสรุปความผิดที่ชัดเจนได้
นายวิรอดกล่าวต่อว่า สำหรับภาพหลุดที่มีการโพสท่าในอิริยาบถต่างๆ ของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก นั้น บทลงโทษของทางคณะสงฆ์สามารถทำได้เพียงว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น เพราะไม่ถือว่ากระทบต่อพระธรรมวินัยมากนัก ส่วนในเรื่องกรณีที่จะต้องตรวจสอบทรัพย์สินของทางวัดป่าขันติธรรมนั้น เนื่องจากวัดป่าขันติธรรมยังเป็นเพียงที่พักสงฆ์เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ประมาณปี 2545 ทางวัดป่าขันติธรรมได้มายื่นเรื่องขอสร้างวัด แต่เนื่องจากไม่ได้มีการดำเนินการสร้างวัดต่อจนแล้วเสร็จ จนกระทั่งครบกำหนดตามระเบียบ 5 ปี เอกสารในการยื่นเรื่องขอสร้างวัดป่าขันติธรรมจึงถือว่าหมดอายุ
ส่วนในเรื่องของการตรวจสอบบัญชีรายจ่าย และรายรับของวัดป่าขันติธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำลังดำเนินการทำหนังสือเพื่อเสนอมายังส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบตามที่จะสามารถทำได้ โดยเบื้องต้นเงินของทางวัดที่สามารถตรวจสอบได้คือเงินที่ประชาชนถวายมา แล้วทางวัดได้ดำเนินการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ส่วนเรื่องที่มาของเงินในส่วนต่างๆ นั้นยังไม่สามารถตรวจสอบได้ รวมไปถึงการตรวจสอบบัญชีของทางวัดว่าเป็นบัญชีของทางวัด หรือบัญชีส่วนตัวของพระสงฆ์
นายวิรอดกล่าวอีกว่า ในหลักความจริงของการตรวจสอบนั้น หากขึ้นทะเบียนว่าเป็นวัดจะมีการตรวจสอบที่ง่ายกว่าเพราะเป็นส่วนของที่ทางวัดต้องส่งบัญชีรับจ่ายให้ส่วนที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเป็นประจำทุกปี ส่วนในเรื่องของการที่มีการจัดตั้งวัดเป็นบริษัทนั้น ขณะนี้ตนยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ทราบเพียงเบื้องต้นว่ามีการจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาเท่านั้น ส่วนในเรื่องของการจัดตั้งบริษัทจะต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
“ต้องยอมรับว่าการที่มีการจัดตั้งสำนักสงฆ์ของวัดป่าขันติธรรมมีช่องว่างที่จะให้ทำการตรวจสอบได้น้อย เป็นส่วนที่ทำให้หน่วยงานราชการตรวจสอบได้ยาก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริงต่อไป” นายวิรอดกล่าว
นายวิรอดกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่พระรูปหนึ่งที่อ้างว่าเป็นประชาสัมพันธ์ของวัดป่าขันติธรรมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าเป็นเจตนาของหลวงปู่เณรคำที่ไม่ต้องการสร้างวัดเนื่องจากต้องการสร้างสถานที่แห่งนี้เพื่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ไม่ต้องการให้เป็นสมบัติของวัด แต่จะมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน หลังจากนั้นหลวงปู่เณรคำได้บอกไว้ว่าจะขอละสังขาร รวมทั้งยุบวัดป่าขันติธรรมด้วย ให้เหลือไว้เพียงวิหารและพระแก้วมรกตจำลองนั้น ตนเห็นว่าเป็นการตอบเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามจากสังคมทั่วไปที่มีการสอบถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ตั้งเป็นวัดให้ถูกต้อง ซึ่งหากว่าจะไม่สร้างเป็นวัดก็ต้องดูที่เจตนาว่าสาเหตุที่ไม่ขอสร้างวัดเหมาะสมถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากการขอสร้างวัดเป็นเรื่องของญาติโยม และจากการที่ตนเข้าไปตรวจสอบสภาพข้อเท็จจริงของวัดป่าขันติธรรมแล้วเห็นว่ามีความพร้อมในทุกด้านที่จะสามารถจัดตั้งเป็นวัดได้แล้ว จึงเห็นว่าที่พักสงฆ์ขันติธรรมควรที่จะขอจัดตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย