นครปฐม - DSI นำหมายค้นและกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจโรงงานประกอบรถยนต์หรูในพื้นที่ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ทำการอายัดรถในโรงงานทั้งหมดอีก 12 คัน ไว้ตรวจสอบ เผยพบข้อมูล “น.ส.นันทพร พึ่งประยูร” ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของโรงงาน มีชื่อครอบครองรถยนต์จดประกอบนำเข้าจากต่างประเทศถึง 58 คัน ตั้งแต่ปี 2554
วันนี้ (9 มิ.ย.) เวลา 14.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการผู้เชี่ยวชาญงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่ DSI นำหมายค้นของศาลจังหวัดนครปฐม เข้าตรวจสอบที่โรงงานประกอบรถยนต์ เจดีพี ไฟเบอร์กลาส โปรดักช์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 50/2 ม.1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีนายบดินทร์ ศรีปีติวิทยา อายุ 33 ปี ที่อยู่ 50/2 ม.1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นผู้รับหมายและนำเข้าตรวจสอบในโรงงานบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ โดยที่ด้านหน้าเป็นอาคารสำนักงาน 3 ชั้น ด้านหลังติดกันเป็นตัวโรงานที่ทำสีรถ และด้านข้างฝั่งซ้ายเป็นตัวโรงงานเก็บอะไหล่รถยนต์ และชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์
ภายในโรงงานพบมีรถยนต์สปอร์ต จอดอยู่ 3 คัน เป็นรถเก๋งยี่ห้อ BMW 1 คัน มาสด้า RX 7 1 คัน โตโยต้า ซูปร้า 1 คัน Top of Form 1 ส่วนด้านข้างอาคารโรงงานมีรถยนต์ เป็นรถเก๋งสปอร์ต 2 ประตู 7 คัน เป็นยี่ห้อรถนิสสัน Cube 2 คัน เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ขอเอกสารการครอบครองรถมาตรวจสอบ
โดยในการตรวจค้น นายบดินทร์ ได้นำเอกสารมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ แต่มีรถ 1 คัน คือ รถเก๋งสปอตร์ยี่ห้อ นิสัน F350 Z สีน้ำเงิน ซึ่งนายบดินทร์ แจ้งว่าเป็นรถของลูกค้านำมาให้ทำสี และซ่อมแซมเครื่องยนต์ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดนำไปตรวจสอบที่ DSI และทำการอายัดรถในโรงงานทั้งหมดอีก 12 คันไว้ตรวจสอบ
นายบดินทร์ ให้การว่า ตนเป็นสามีของ น.ส.นันทพร พึ่งประยูร ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของโรงงานจดประกอบรถยนต์แห่งนี้ โดยขออนุญาตเปิดโรงงานประกอบรถยนต์ และพ่นสีทำสีรถยนต์ ขออนุญาตจากกรมสรรพาสามิตถูกต้อง และนำชิ้นส่วนมาประกอบเมื่อปลายปี 54 และได้เลิกการประกอบ เนื่องจากมีข้อสงสัย และมีข่าวเรื่องการประกอบรถยนต์ผิดกฎหมาย ตนเลยเลิกกิจการมาทำการพ่นสีทำสีแต่งรถยนต์แทน และสามารถให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพราะทุกอย่างดำเนินการถูกต้อง และขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกต้อง
สำหรับการเข้าตรวจค้นโรงงานแห่งนี้ ทาง DSI ได้พบข้อมูลว่า น.ส.นันทพร พึ่งประยูร ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของโรงงานจดประกอบรถยนต์แห่งนี้ มีชื่อครอบครองรถยนต์จดประกอบนำเข้าจากต่างประเทศถึง 58 คัน ตั้งแต่ปี 2554 จึงขอศาลจังหวัดนครปฐม ขออนุมัติหมายค้นเข้าตรวจสอบดังกล่าว หากพบว่าไม่มีการแจ้งเอกสารที่ถูกต้องจะมีการดำเนินการในการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป
วันนี้ (9 มิ.ย.) เวลา 14.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการผู้เชี่ยวชาญงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่ DSI นำหมายค้นของศาลจังหวัดนครปฐม เข้าตรวจสอบที่โรงงานประกอบรถยนต์ เจดีพี ไฟเบอร์กลาส โปรดักช์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 50/2 ม.1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีนายบดินทร์ ศรีปีติวิทยา อายุ 33 ปี ที่อยู่ 50/2 ม.1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นผู้รับหมายและนำเข้าตรวจสอบในโรงงานบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ โดยที่ด้านหน้าเป็นอาคารสำนักงาน 3 ชั้น ด้านหลังติดกันเป็นตัวโรงานที่ทำสีรถ และด้านข้างฝั่งซ้ายเป็นตัวโรงงานเก็บอะไหล่รถยนต์ และชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์
ภายในโรงงานพบมีรถยนต์สปอร์ต จอดอยู่ 3 คัน เป็นรถเก๋งยี่ห้อ BMW 1 คัน มาสด้า RX 7 1 คัน โตโยต้า ซูปร้า 1 คัน Top of Form 1 ส่วนด้านข้างอาคารโรงงานมีรถยนต์ เป็นรถเก๋งสปอร์ต 2 ประตู 7 คัน เป็นยี่ห้อรถนิสสัน Cube 2 คัน เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ขอเอกสารการครอบครองรถมาตรวจสอบ
โดยในการตรวจค้น นายบดินทร์ ได้นำเอกสารมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ แต่มีรถ 1 คัน คือ รถเก๋งสปอตร์ยี่ห้อ นิสัน F350 Z สีน้ำเงิน ซึ่งนายบดินทร์ แจ้งว่าเป็นรถของลูกค้านำมาให้ทำสี และซ่อมแซมเครื่องยนต์ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดนำไปตรวจสอบที่ DSI และทำการอายัดรถในโรงงานทั้งหมดอีก 12 คันไว้ตรวจสอบ
นายบดินทร์ ให้การว่า ตนเป็นสามีของ น.ส.นันทพร พึ่งประยูร ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของโรงงานจดประกอบรถยนต์แห่งนี้ โดยขออนุญาตเปิดโรงงานประกอบรถยนต์ และพ่นสีทำสีรถยนต์ ขออนุญาตจากกรมสรรพาสามิตถูกต้อง และนำชิ้นส่วนมาประกอบเมื่อปลายปี 54 และได้เลิกการประกอบ เนื่องจากมีข้อสงสัย และมีข่าวเรื่องการประกอบรถยนต์ผิดกฎหมาย ตนเลยเลิกกิจการมาทำการพ่นสีทำสีแต่งรถยนต์แทน และสามารถให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพราะทุกอย่างดำเนินการถูกต้อง และขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกต้อง
สำหรับการเข้าตรวจค้นโรงงานแห่งนี้ ทาง DSI ได้พบข้อมูลว่า น.ส.นันทพร พึ่งประยูร ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของโรงงานจดประกอบรถยนต์แห่งนี้ มีชื่อครอบครองรถยนต์จดประกอบนำเข้าจากต่างประเทศถึง 58 คัน ตั้งแต่ปี 2554 จึงขอศาลจังหวัดนครปฐม ขออนุมัติหมายค้นเข้าตรวจสอบดังกล่าว หากพบว่าไม่มีการแจ้งเอกสารที่ถูกต้องจะมีการดำเนินการในการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป