เชียงราย - เวที “เพื่อไทย..เพื่ออนาคตเพื่อประเทศไทย” ในหอประชุมมหาวิทบาลัยราชภัฏเชียงราย คึกคึกเฉพาะช่วงเริ่มต้น หลังเกณฑ์คนหมู่บ้านละ 20 คนเข้าร่วม แต่พอลงชื่อเสร็จชาวบ้านกลับหมด เหลือแต่เสื้อแดงขาประจำ และผู้ว่าฯ รวมหลักร้อย ทำ “อ๋อย-ตู่-เต้น” ต้องปราศรัยให้ผีฟัง
วันนี้ (2 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า การเปิดเวที “เพื่อไทย..เพื่ออนาคตเพื่อประเทศไทย” ของพรรคเพื่อไทย ที่หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เมื่อช่วงเย็นวันก่อน (1 มิ.ย.) ปรากฏว่า ช่วงเริ่มเวทีมีกระแสว่าทางจังหวัดได้เกณฑ์ชาวบ้านจากทุกหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 20 คนให้ไปร่วม ทำให้มีประชาชนเข้าร่วมแน่นขนัดกว่า 3,000-4,000 คน
แต่หลังจากมีการลงชื่อ และนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีกำหนดการปราศรัยเรื่องการพิจารณางบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท และนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะขึ้นเวทีพูดถึงเรื่อง “รัฐธรรมมนูญ และพ.ร.บ.นิรโทษกรรม”
ปรากฏว่า ชาวบ้านต่างทยอยเดินทางกลับจนหอประชุมแทบร้าง เหลือเพียงแกนนำคนเสื้อแดง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ที่ไปดูแล และที่ยังปักหลักรอฟังการปราศรัยประมาณ 100-150 คนเท่านั้น ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ก็ยังคงนั่งดูเวทีจนดึกดื่น
อย่างไรก็ตาม การปราศรัยก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยนายวราเทพ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีวิสัยทัศน์ ซึ่งสืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย ถ้าเดินหน้าต่อจะทำให้ประเทศไทยมีรถไฟความเร็วสูงในอีก 7 ปีข้างหน้า แต่ถ้าช้าแบบที่ฝ่ายค้านคิด ก็ไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไหร่ ส่วนการกล่าวหาเรื่องการทุจริตงบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาทนั้น เรื่องยังไม่ถึงเวลาก็มากล่าวหากันแล้ว เพราะการตั้งงบประมาณยังมีขั้นตอนอีกมาก รวมทั้งมีระบบราชการตรวจสอบ
ขณะที่นายจาตุรนต์ ก็ยังคงปราศรัยด้วยรูปแบบเดิมๆ โดยโจมตีตุลาการในหัวข้อ “ตุลาการภิวัฒน์สู่การรัฐประหารศาลรัฐธรรมนูญ” ว่าเลือกตั้งเมื่อครั้งก่อนพรรคไทยรักไทยชนะ ขณะที่พรรคอื่นไม่ยอมเข้าร่วมเลือกตั้งด้วย จึงถูกตัดสินว่าการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ทำให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่พรรคเดิมก็ชนะการเลือกตั้งอีก กระทั่งมีการยึดอำนาจโดยทหาร เกิดการยุบพรรคไทยรักไทย และเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค รวมถึงตนด้วย ขณะเดียวกัน เห็นได้ว่าศาลไม่ปฏิเสธอำนาจอันมาจากคณะรัฐประหาร
ต่อมา มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และมีผู้พิพากษาบางคนไปเป็น คตส. และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อเสร็จงานก็ขอกลับเข้าไปเป็นผู้พิพากษาได้อีก เราจึงได้รัฐธรรมนูญที่ออกฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ หลังมีการยุบพรรคพลังประชาชน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยุบ ปัจจุบันเมื่อจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็มีผู้ไปร้องตาม ม.68 ก็รับเอาไว้ แต่เมื่อมีคนร้องว่ากรณีพรรคประชาธิปัตย์ ก็อยู่ในคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องกับการแก้รัฐธรรมนูญด้วย กลับแจ้งว่าไม่มีเจตนา เสมือนว่าถ้าเป็นพรรคประชาธิปัตย์แล้วไม่ผิด
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น ไปลงนามเกี่ยวกับไทย-กัมพูชา ก็บอกว่าเป็นสนธิสัญญา นายจตุพร ก็ถูกปลดออกจาก ส.ส.อย่างง่ายๆ แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ตุลาการไม่มีประวัติในการรักษาเสรีภาพของประชาชน และมีความเสื่อมแล้ว เราจึงต้องขัดขวางการรัฐประหารโดยศาลอย่างเต็มที่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญกลับไป เหมือนทหารที่เคยบอกให้กลับกรมกอง
ด้านนายพงศ์เทพ กล่าวถึงโทษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาว่า มีการใช้ ม.100 ซึ่งไม่เคยมีใครเคยโดนมาก่อน จึงเป็นเรื่องคลุมเครือ และดูแปลกแตกต่างไปจากกฎหมายที่เคยใช้กันมา
นายจตุพร กล่าวว่า มีเป้าหมายชัดเจน 2 เรื่อง คือ เอา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับคืนสู่ประเทศ และนำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าคุกจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากให้ได้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมยังน่าห่วง โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกปลดเพราะไปทำกับข้าว พรรคพลังประชาชนถูกยุบ เพราะมีพยานคนเดียวบอกว่าไปรับเงินจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรค คนละ 20,000 บาท แต่กรณีมีคนร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กลับบอกว่าหมดอายุความ ปัจจุบันก็มีกระบวนการที่จ้องจะยุบพรรคการเมืองอีก 6 พรรค
นายจตุพร ยังคงกล่าวโจมตีนายอภิสิทธิ์ว่า หนีทหารและมั่นใจว่าจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปตลอดชีวิต แต่เมื่อมีผู้ไปเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ก็กล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจวนตัว ซึ่งตนยืนยันว่า จะต้องเอาทั้ง 2 คนนี้เข้าคุกให้ได้ ดังนั้น พวกเราจะต้องให้รัฐบาลเดินหน้างบประมาณปี 2557 จะได้ใช้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท โดยต้องไม่ประมาทในทุกเรื่อง และตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาก็จะได้พร้อมกันออกมาได้ตลอดเวลา แต่ปัจจุบันขอประคองรัฐบาลไว้ก่อน
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวปราศรัยกรณีไข่แพงว่า ไม่ใช่ความผิดของตน แต่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อน และจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป แต่หากมีการปฏิวัติประชาชนจำนวนมาก ก็จะออกมาอย่างแน่นอน ทั้งนี้ มีเป้าหมาย คือ เอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับคืนมา
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การปราศรัยไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเกิดจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และดูแลกองทุนฟื้นฟู ซึ่งกฎหมายห้ามไม่ให้เป็นคู่สัญญากับเอกชนที่เป็นเครือญาติ แต่กรณีการซื้อขายดังกล่าว คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (ชินวัตร) ภรรยาในขณะนั้น เป็นผู้ซื้อ รวมทั้งไม่ได้แจ้งรายละเอียดกรณีการให้อดีตนักการเมืองแต่ละคนพ้นจากตำแหน่ง และยุบพรรคต่างๆ ว่า แต่ละเรื่องมีรายละเอียดฐานความผิด รวมทั้งไม่ได้ให้รายละเอียดผู้เข้าร่วมรับฟังเรื่องการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่หลายฉบับมีเนื้อหาให้เว้นโทษผู้กระทำผิดทั้งหมด ซึ่งหมายถึงว่าผู้ที่มีการปราศรัยโจมตีก็จะพ้นผิด โดยที่ผู้เสียชีวิตทั้งหมดจะไม่ได้ทราบความจริงว่า ใครเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมด้วย