ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เปิดแล้วประชุม Rice Convention ที่เชียงใหม่ “บุญทรง” ชี้เป็นโอกาสดีไทยได้แสดงความพร้อมเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวในภูมิภาค-ระดับโลก เผยตัวเลขส่งออกเพิ่ม ยันจำนำข้าวจ่ายเงินแน่ ที่ล่าช้าเพราะรอตรวจสอบ แย้มปีหน้ารับจำนำต่อแต่ไม่เพิ่มวงเงิน ด้านสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยระบุ ตลาดข้าวไทยขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐ ทั้งการเปิดเสรี-ช่วยดูแลเรื่องการแข่งขันในตลาดโลก
วันนี้ (27 พ.ค.) ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการสินค้าข้าวในระดับนานาชาติ “Thailand Rice Convention 2013” มีผู้แทนการค้าจากประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าว ผู้นำเข้า ผู้ประกอบการค้าข้าว นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและการค้าข้าว รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจาก 40 ประเทศเข้าร่วม
การประชุม Thailand Rice Convention 2013 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม และถือเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่เริ่มจัดประชุมมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในวงการค้าข้าวของโลกได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการค้าข้าว รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ส่งออกข้าวไทย และผู้นำเข้าข้าวจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
สำหรับครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Pushing ASEAN towards the World’s Rice Hub” เพื่อแสดงออกถึงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกข้าวคุณภาพดีของไทยและอาเซียน รวมทั้งแสดงความพร้อมของประเทศไทยในการที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าข้าวทั้งในระดับอาเซียนและระดับโลก ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมข้าวได้พบปะเพื่อสร้างความร่วมมือหรือการค้าระหว่างกันต่อไปในอนาคต
นายบุญทรงกล่าวว่า ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 600 คน รวมถึงรัฐมนตรีด้านการค้าของประเทศในกลุ่มอาเซียน บังกลาเทศ และโตโก เป้าหมายของการประชุมต้องการสร้างความร่วมมือระหว่างกันของประเทศต่างๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมข้าว รวมทั้งนำเสนอข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการค้าข้าว เพื่อให้ประเทศต่างๆ ได้ทราบข้อมูลที่ครบถ้วน และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ขณะเดียวกัน ตัวแทนจากประเทศต่างๆ ก็จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าวไทยที่สมบูรณ์ครบถ้วนเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจทำการค้าต่อไปด้วย
นายบุญทรงกล่าวถึงการส่งออกข้าวไทยในปัจจุบันว่า ตัวเลขการส่งออกค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าการระบายข้าวของรัฐบาลจะเป็นไปตามแผน โดยข้าวที่ทำสัญญาซื้อขายในปีที่ผ่านมากำลังอยู่ในช่วงส่งมอบ ขณะที่การทำสัญญาซื้อขายรอบใหม่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งได้กำชับให้ทุกฝ่ายเร่งทำงานเต็มที่ โดยในปัจจุบันหากพิจารณาในแง่มูลค่าการส่งออกข้าวไทยยังคงเป็นอันดับหนึ่งในตลาดโลก แต่หากพิจารณาในแง่ปริมาณอาจจะอยู่ในอันดับรองๆ อย่างไรก็ตามได้กำชับให้ทุกฝ่ายพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นอีก
ส่วนการรับจำนำข้าว ซึ่งมีหลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลขาดสภาพคล่องจากการจ่ายเงินให้เกษตรกล่าช้านั้น ที่ล่าช้าเนื่องจากตัวเลขประมาณการผลผลิตไม่ตรงกัน ทำให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจนเสียก่อน จึงทำให้มีเกษตรกรบางส่วนที่ได้รับเงินล่าช้า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการรับจำนำยังคงดำเนินไปตามปกติและจ่ายเงินให้แน่นอน
“โครงการน่าจะดำเนินการต่อ แต่เบื้องต้นคณะรัฐมนตรียังไม่ได้หารือในรายละเอียด ส่วนหนึ่งคงต้องรอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ประเมินผลและพิจารณาก่อน แต่ทั้งนี้คาดว่าจะยังคงใช้กรอบวงเงินเดิมที่ 4 แสนล้านบาทโดยไม่เพิ่มวงเงินแต่อย่างใด”
ด้านนางกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวของภูมิภาคได้ เนื่องจากปัจจุบันมีศักยภาพที่ดีหลายด้าน โดยเฉพาะการขนส่ง การบริการ และความรวดเร็วในการทำการค้า ซึ่งทำให้ไทยมีความก้าวหน้าว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณานโยบายของรัฐบาลด้วยว่าจะเปิดเสรีด้านการค้าข้าวมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถทำการค้าได้หลายรูปแบบ ทั้งการค้าข้าวไทย และข้าวจากประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ส่วนสถานการณ์ของตลาดข้าวในปัจจุบันนั้นต้องยอมรับว่าอยู่ในภาวะซบเซา และยังไม่มีปัจจัยบวก อย่างไรก็ตาม ตลาดข้าวโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก ดังนั้นภาวะซบเซาจะไม่คงอยู่ตลอด ถือว่ายังมีความหวังอยู่ ประกอบกับการที่ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดี และเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้ผู้ส่งออกข้าวสามารถแข่งขันได้มากขึ้น จากการลดช่องว่างของราคาข้าวไทยกับประเทศอื่นๆให้แคบลง
นางกอบสุขกล่าวว่า การจะตั้งเป้าให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยกลับขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งในตลาดโลกนั้นอาจจะต้องใช้เวลา เพราะไทยยังมีเรื่องของราคาข้าวเป็นปัจจัยอยู่ แต่หากภาครัฐมีมาตรการหรือความช่วยเหลือผู้ประกอบการก็จะมีส่วนช่วยให้แข่งขันได้มากขึ้น หรือสามารถทำสัญญาจีทูจีเพื่อขายข้าวให้กับต่างประเทศในปริมาณมากได้ ซึ่งจะช่วยให้ยอดรวมของการส่งออกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันต้องติดตามดูทิศทางของตลาดโลกด้วย แต่เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าที่มีการบริโภคอยู่ตลอด ภาวะซบเซาของตลาดจึงน่าจะคงอยู่ไม่นานนัก
ทั้งนี้ การปรับลดเป้าหมายการส่งออกข้าวจาก 6.5 ล้านตัน เหลือ 6 ล้านตันของสมาคมนั้น เป็นผลมาจากภาวะตลาดที่ซบเซา โดยช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีการส่งออกที่ประมาณ 2 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนจะประเมินผลรอบครึ่งปี เพื่อกำหนดเป้าหมายอีกครั้ง