“บุญทรง” กล่อมกัมพูชาร่วมมือค้าข้าวสำเร็จ วางกรอบทำงาน 3 ระดับ ทั้งรัฐมนตรี ราชการและเอกชน พร้อมเพิ่มความร่วมมือดันราคามันสำปะหลัง จับมือเดินรถขนส่งทั้งคนและสินค้า และตั้งศูนย์ OTOP ตรงจุดพักรถ ตั้งเป้าดันการค้าสองฝ่ายเพิ่มปีละ 30% ต่อไป
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-กัมพูชา ร่วมกับนายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา ครั้งที่ 4 เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันที่จะร่วมมือกันจัดทำความร่วมมือด้านตลาดข้าวซึ่งได้ยกระดับเป็นความร่วมมือข้าว 5 ประเทศในอาเซียน ประกอบด้วยกัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนาม เพื่อยกระดับและเสริมสร้างเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก และเป็นการเตรียมตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลก เช่น เรื่องความมั่นคงด้านอาหาร โดยมีกลไกการทำงาน 3 ระดับ คือ การประชุมรัฐมนตรีข้าว 5 ประเทศ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และการจัดตั้งสมาพันธ์ผู้สีและค้าข้าวของภาคเอกชน
นอกจากนี้ยังได้เห็นชอบที่จะร่วมกันผลักดันความร่วมมือด้านมันสำปะหลังให้มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อช่วยยกระดับและรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง รวมถึงการเสริมสร้างอำนาจต่อรองด้านราคาในฐานะประเทศผู้ผลิตมันสำปะหลังรายสำคัญในตลาดโลก ทั้งนี้ กัมพูชาได้ขอให้ไทยทบทวนมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง เพื่อส่งเสริมให้การค้าสองฝ่ายเป็นไปโดยสะดวกยิ่งขึ้น
นายบุญทรงกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังได้แสดงความยินดีกับการริเริ่มเดินรถขนส่งระหว่างไทยกับกัมพูชาเส้นทางเศรษฐกิจผ่านจุดผ่านแดนอรัญประเทศ-ปอยเปต และได้เห็นชอบให้มีการประสานระหว่างหน่วยงานเพื่อให้การขนส่งคนและสินค้ามีความสะดวกยิ่งขึ้น และยังได้เห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า การจับคู่และสร้างเครือข่ายธุรกิจ และการตั้งศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ที่จุดพักรถในจังหวัดโพธิสัต รวมทั้งให้เพิ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
ในด้านการขยายการค้า ทั้งสองฝ่ายพอใจการขยายตัวทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ในการประชุม JTC ครั้งก่อนให้ ขยายตัว 30% ต่อปี ในช่วงปี 2555-58 โดยในปี 2555 จากสถิติการค้าของไทย การค้าของไทยกับกัมพูชาขยายตัวเพิ่มขึ้น 40.5% จาก 2,869 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2554 เป็น 4,030 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2555 จึงยืนยันเป้าหมายการค้าให้เพิ่มขึ้น 30% ต่อปีต่อไป โดยเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือ การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือ ทางการค้าและการลงทุน ปี 2555-2558 ที่ทั้งสองฝ่ายได้ริเริ่มไว้ รวมถึงผลจากการดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558
