อุบลราชธานี - กลุ่มมวลชน อ้างเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ไม่พอใจ กอ.รมน.อุบลฯ ชุมนุมประท้วงร้องจังหวัดอุบลฯ และ กอ.รมน.ให้ยอมรับรายชื่อกว่าพันราย รับเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 2.2 แสนบาท แต่ กอ.รมน.ไม่ยอม เหตุรายชื่อสูงเกินความจริง ย้ำต้องตรวจสอบพิสูจน์บุคคล หวั่นจ่ายซ้ำซ้อนกับบุคคลที่ได้รับแล้ว
วันนี้ (7 พ.ค. 56) ที่ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี มีผู้อ้างตัวเป็นกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) จังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ 100 คน นำโดยนายปิยะ ผูกจิต ผู้ประสานงานสภาประชาชน 4 ภาค ชุมนุมเปิดปราศรัยกล่าวโจมตีการทำงานของหน่วยงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดอุบลราชธานี (กอ.รมน.) กรณีเรียกเอกสารของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ยื่นขอรับเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 220,000 บาท หลังยอมวางอาวุธไม่ต่อสู้กับรัฐบาลเมื่อ 30 ปีก่อน
นายปิยะ ผูกจิต ผู้ประสานงานสภาประชาชน 4 ภาค เปิดเผยว่า ได้ทำการรวบรวมรายชื่อของสมาชิก ผรท.ในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ มุกดาหาร ยโสธร กว่า 1,000 ราย เสนอต่อ กอ.รมน.จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อส่งรายชื่อให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าว แต่ กอ.รมน.กลับให้ผู้มีรายชื่อมาแสดงตัวเป็นรายบุคคล พร้อมเรียกเอกสารเพิ่มกรณีมาขอรับแทนบิดา หรือมารดา ที่เป็นผรท.และได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เกิดความล่าช้า จึงไม่พอใจมาเรียกร้องให้ใช้หลักการรับรายชื่อตามที่กลุ่มได้รวบรวมมากว่าพันรายไปแทน
ต่อมานายวันชัย สุทธิวรชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และพ.อ.เวิน จำปาสา รองผอ.กอ.รมน.จังหวัดอุบลราชธานี ได้เชิญตัวแทนเข้าหารือได้ข้อสรุปว่า จังหวัดต้องคัดกรองผู้มีรายชื่อได้รับเงินช่วยเหลือรอบที่ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับรายชื่อผู้ที่ได้รับไปแล้ว ทั้งรอบที่หนึ่งและสอง จึงต้องให้มาแสดงตัวด้วยตนเอง และยื่นหลักฐานให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นจังหวัดจะไม่เสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือครั้งนี้ ทำให้กลุ่ม ผรท.ที่มีรายชื่อตกหล่นและเป็นลูกหลานของผรท.ที่ยังไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือมาก่อนพอใจ พากันสลายตัวกลับไปในบ่ายวันเดียวกัน สำหรับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผรท.ปัจจุบันจังหวัดอุบลราชธานี มีอยู่ประมาณ 200 ราย โดยได้รับเงินช่วยเหลือรุ่นแรกเมื่อปี 2551 รุ่นที่สองเมื่อปี 2554 รวมกว่า 100 คน
ปัจจุบันจึงเหลือ ผรท.และลูกหลานของ ผรท. ที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 100 รายเท่านั้น แต่กลับมีรายชื่อเข้ามาขอรับเงินช่วยเหลือนับพันราย ทำให้หน่วยงานความมั่นคงต้องตรวจสอบ จนสร้างความไม่พอใจดังกล่าว