ลำปาง - เปิดเรื่องจริง ชีวิตจริงอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย วัย 51 เคยร่วมรบทั้งใน-นอกประเทศ จนถูกยิงบาดเจ็บเรื้อรัง กลับถูกรัฐทอดทิ้งไม่เคยได้รับสวัสดิการใดๆ วันนี้ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น ไม่มีแม้กระทั่งบ้านเป็นของตนเอง แถมลงทุนขายน้ำปั่นข้างถนน สุดท้ายยังถูกเทศกิจไล่ที่ซ้ำ
วันนี้ (11 มี.ค. 56) นายยอดชาย อาจารย์ อายุ 51 ปี อดีตทหารพราน ชค.513 ค่ายปักธงชัย กองร้อย 954 ซึ่งปัจจุบันยึดอาชีพเข็นรถขายน้ำผลไม้ปั่นริมบาทวิถีข้างโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย อ.เมืองลำปาง เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และกำลังถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจไล่ที่พร้อมกับเพื่อนร่วมอาชีพอีกหลายรายอยู่ในขณะนี้ ส่วนภรรยามีอาชีพรับเสริมสวยอยู่ที่บ้าน มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ ลูกค้ามีบ้างไม่มีบ้าง บอกว่าวันนี้ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว
นายยอดชายบอกว่า ทุกวันนี้ตนทำอาชีพอย่างสุจริต แต่ก็ยังถูกหน่วยงานรัฐกลั่นแกล้ง ล่าสุดเทศกิจเทศบาลนครลำปางมาขับไล่ไม่ให้จำหน่ายในพื้นที่ข้างถนน ซึ่งตนอยากถามว่าหากไม่ให้ตนทำอาชีพสุจริตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว หน่วยงานของรัฐจะดูแลตนเองและครอบครัวอย่างไร ทั้งๆ ที่เกือบตลอดชีวิตตนทำประโยชน์เพื่อประเทศและประชาชนของประเทศนี้ในฐานะทหารพราน จนได้รับบาดเจ็บเรื้อรังมาตลอด ตอนนี้ขัดสนมาก ที่ทำกินก็จะไม่มี ค้าขายแบบสุจริตก็จะทำไม่ได้ บ้านที่อยู่ก็ไม่มีต้องเช่าเขาอยู่ ค่ารักษาพยาบาลร่างกายที่บอบช้ำจากการสู้รบใครจะช่วยเหลือ
นายยอดชายเล่าว่า ตอนที่เป็นทหารพรานอยู่นั้นทำหน้าที่ในสนามรบทั้งใน-ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเขมร ลาว พม่า จนถูกยิงบาดเจ็บเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยได้รับสวัสดิการใดๆ จากต้นสังกัดเลยตั้งแต่ประเทศชาติสงบ และหน่วยรบที่ตนเองสังกัดได้ยุบหน่วยลงไปและตนเองก็ได้ลาออกมาเป็นประชาชนเต็มตัว ทำให้ต้องดูแลรักษาตัวเองรวมทั้งเลี้ยงครอบครัว ขณะที่รายได้ที่มีก็ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่มีถึงเดือนละเกือบ 2 หมื่นบาท ขณะที่รายรับมีเพียงหมื่นเศษๆ เท่านั้น จนต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบมาจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าการศึกษาบุตร รวมถึงค่ารักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง
นายยอดชายบอกอีกว่า ตนมีพ่อเป็นชาวไทย แม่เป็นชาวมอญ เกิดที่ จ.กาญจนบุรี และต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าครั้งที่เกิดสงครามด่านเจดีย์สามองค์ ขณะนั้นตนยังเด็กได้พลัดพรากจากแม่ที่ถูกนำกลับไปอยู่ที่พม่า พ่อก็ไม่ทราบว่าไปอยู่ไหน เมื่อไร้พ่อและแม่ ตนถูกส่งให้ไปอยู่ที่วัดกับหลวงพ่ออุตมะ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี จนกระทั่งอายุได้ประมาณ 16 ปี ทางกองทัพต้องการคนไปรบที่ด่านชายแดนไทย-เขมร โดยทางจังหวัดต้องการทหารพราน 2 กองร้อย ตนจึงได้สมัครเข้าไปด้วย โดยเข้าฝึกที่ ชค.513 ค่ายปักธงชัย จากทั้งประเทศมี 12 กองร้อย ตนประจำอยู่กองร้อย 954 เมื่อฝึกเสร็จได้ถูกส่งไปที่บ้านพันศึก ต.กองหาด อ.วังน้ำเย็น จ.ปราจีนบุรี เพื่อผลักดันชาวเขมรกลับประเทศ
หลังจากเสร็จภารกิจได้ถูกส่งไปยังเขาค้อ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เพื่อปฏิบัติการขับไล่คอมมิวนิสต์ในปี 2523 จนกระทั่งสามารถยึดเขาหญ้าใต้ได้สำเร็จจึงได้กลับลงมาที่หน่วย 513 ทุกคนได้ลากลับบ้าน แต่เนื่องจากตนเองไม่มีบ้านจึงได้อยู่ที่หน่วยต่อ เมื่อหมดเวลาลาทุกคนได้กลับมาที่หน่วยและได้ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ที่เขาอินทรีย์ ต่อไปที่โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี เพื่อปราบปรามกองกำลังต่างชาติจนเสร็จภารกิจจึงกลับเข้าหน่วย ทบทวนการฝึกก่อนถูกส่งไปกวาดล้างเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จนถึง อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี และกวาดล้างวังน้ำเขียว บ้านบุจุคุน บ้านของเต๋าวังมี วังกระทะ
จนกระทั่งมีโครงการใหม่ ซึ่งใช้ชื่อว่าโครงการส่วนแยก เพื่อปราบปรามยาเสพติดครั้งแรกในเมืองไทย โดยใช้ชื่อหน่วย 514 ตนเองถูกฝึกหนักเพิ่มขึ้นกว่าทหารทั่วไปพร้อมกับฝึกการใช้ภาษาเพื่อนบ้าน ซึ่งตนสามารถพูดได้ทั้งภาษาพม่า เขมร มอญ จึงถูกส่งไปปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดนอกประเทศ เช่น ประเทศพม่า กะเหรี่ยง ในปี พ.ศ. 2524 เพื่อทำลายโรงงานผลิตเฮโรอีน ประมาณ 12 เตา รวมถึงทำลายน้ำยาซึ่งเป็นสารตั้งต้นการผลิตยาเสพติด ก่อนที่จะกลับเข้าประเทศมาปักหลักที่บ้านหินแตก และมาพัฒนาจนกลายเป็นบ้านเทิดไท้ในปัจจุบัน
แต่ระหว่างประจำการอยู่ที่นี่ เพื่อนๆ ร่วมงานและหัวหน้าของตนถูกทหารไม่ทราบฝ่ายบุกโจมตีจนเสียชีวิตไป 9 คน หน่วยของตนแตกกระเจิงต้องเดินเท้าหนีเข้าไปยังอำเภอแม่จัน มารวบรวมกำลังพลใหม่ และกลับขึ้นไปยึดเอาบ้านหินแตกกลับคืนในระยะเวลาร่วมสัปดาห์
หลังเสร็จภารกิจที่บ้านหินแตก ได้กลับลงมาฝึกอีกครั้งก่อนที่จะถูกส่งไปปราบปรามพวกคอมมิวนิสต์ที่สุราษฎร์ธานี และยึดค่ายคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย 508 เทือกเขาฆ้องช้าง อ.บ้านช่อง จ.สุราษฎร์ธานี ครั้งนี้มีกำลังพลเจ็บ-ตายจำนวนมาก จากนั้นกำลังที่เหลือก็ต้องเดินทางไปยึดผาตั้งคืนจากคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดน่าน โดยใช้เวลา 2 เดือนสามารถยึดพื้นที่ได้พร้อมอาวุธอีกจำนวนมาก
เมื่อเสร็จภารกิจดังกล่าวทางหน่วยเห็นว่าควรจะต้องใช้กำลังต่อและมีความจำเป็นจึงได้มีการขยายกองกำลังออกเป็น 6 กองร้อย และให้เข้าฝึกในค่ายหนองตะกู อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ฝึกเสร็จตนเองได้ถูกส่งมาที่ค่ายประตูผา อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เพื่อออกปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดในตะเข็บชายแดนตั้งแต่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2530 หน่วย 514 ยุบตัวลงไปรวมกับหน่วย 513 กองทัพภาค ตนเองได้รับความไว้วางใจและถูกส่งไปทำหน้าที่ประสานงานในเขมร เนื่องจากขณะนั้นเขมรมีการสู้รบกันภายใน มีคนหนีตายเข้ามายังฝั่งประเทศไทย โดยใช้ชื่อหน่วยว่า วีเอสพี (V.S.P.) หลังจากที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในเขมรได้ประมาณ 2-3 เดือน ได้เกิดสงครามระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาวขึ้น ตนเองและกลุ่มได้ถูกเรียกตัวกลับมารวมพลที่หน่วยรบพิเศษคุ้มสะวันสิดที่ 5 ทหารปืนใหญ่ ได้ตั้งชื่อหน่วยว่า หน่วยปีศาจ ถูกส่งไปที่ชายแดนไทย-ลาว จ.เลย บ้านห้วยม่วง แขวงไซยะบุลี ประเทศลาว และเดินเท้าเข้าไปยังประเทศลาวกว่า 10 กิโลเมตร ระหว่างทางได้ปะทะกับกองกำลังทหารลาว จนมีกำลังตายไป 3 คน บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากเสร็จภารกิจกลับเข้ามายังประเทศไทยก็ต้องกลับไปยังหน่วยซีวายในประเทศเขมรอีกรอบ เมื่อสงครามยุติหน่วยก็ถูกยุบไปตนเองก็กลับลงมาอยู่ที่หน่วยจนถูกส่งไปอยู่ที่ จ.ตราด เนื่องจากตนเองพูดภาษาเขมรได้ เพื่อช่วยให้พวกเขากลับเข้าประเทศและยุติสงคราม
กระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจตนจึงขออนุญาตผู้บังคับบัญชาลาออกมาใช้ชีวิตเหมือนประชาชนทั่วไป แม้จะยังไม่รู้ว่าหลังจากวางปืนแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ผู้บังคับบัญชาก็เคยเป็นห่วงและสอบถามเพราะเกือบตลอดชีวิตเราได้แต่รับใช้ชาติ แต่ตนเองก็เชื่อว่าสามารถดำรงชีวิตอย่าประชาชนทั่วไปได้ จึงตัดสินใจลาออกเมื่อประมาณปี 2534 จนกระทั่งมีครอบครัวก็ยังไม่เคยได้รับสวัสดิการใดๆ แม้ก่อนหน้านี้ทาง ททบ.5 ได้ขอประวัติไปทำภาพยนตร์เรื่อง ฉก.เสือดำ แต่ตนเองก็ไม่ได้อะไร แถมยังต้องระวังตัวมากขึ้นเพราะมีบางเรื่องที่ถูกถ่ายทอดออกไปอาจเป็นอันตราย
คลิกเพื่อชมคลิป: