ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ตำรวจออกหมายจับหัวหน้าชุด-กรรมการร่วมประจำรถขนเงินแบงก์กรุงไทยแล้ว-คนขับรอด หลังพบพิรุธการถือกุญแจเปิดเซฟที่ปกติต้องแบ่งกันถือแต่วันเกิดเหตุกลับถือเพียงคนเดียว แถมพบมีข้อมูลการเปิดตู้เซฟช่วงที่ชุดขนเงินจอดรถไปกินข้าว คาดมีคนอื่นเกี่ยวด้วยสั่งเร่งตามหารถต้องสงสัยจอดเทียบรถขนเงินช่วงเงินหาย
วันนี้ (7 มี.ค. 2556) รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหาในกรณีเงินจำนวน 9.2 ล้านบาทหายไปจากรถขนเงินของบริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่ริมเมื่อวานนี้ (6 มี.ค.) แล้ว โดย พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอศาลอนุมัติออกหมายจับนายสุดปรีชา ทองพัน และนายชัชพงศ์ อุทยาน หัวหน้าชุดและคณะกรรมการร่วมประจำรถขนเงินในข้อหาลักทรัพย์แล้ว หลังจากสืบสวนแล้วพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเงินหายดังกล่าว ส่วนนายณัฐวัฒน์ สายอุดม คนขับรถนั้นยังไม่มีการขอออกหมายจับแต่อย่างใด
โดยข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อพฤติการณ์ของพนักงานประจำรถทั้ง 2 ราย ซึ่งนำไปสู่การออกหมายจับในครั้งนี้ อยู่ที่การถือกุญแจที่ใช้ไขรถและตู้นิรภัยภายในรถ ซึ่งตามปกติจะมีทั้งสิ้น 3 ดอก ประกอบด้วยกุญแจรถซึ่งนายณัฐวัฒน์เป็นผู้รับผิดชอบ กับกุญแจอีก 2 ดอกที่ใช้สำหรับไขเปิดตู้นิรภัย ซึ่งดอกหนึ่งจะเก็บรักษาโดยหัวหน้าชุด ส่วนอีกดอกหนึ่งจะอยู่ที่คณะกรรมการร่วม
อย่างไรก็ตาม ในวันเกิดเหตุพบว่านายสุดปรีชาซึ่งเป็นหัวหน้าชุด เดินทางมาถึงธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาข่วงสิงห์ ภายหลังจากที่นายชัชพงษ์ คณะกรรมการร่วม พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารได้นำเงินใส่ในตู้นิรภัยภายในรถแล้ว โดยนายชัชพงษ์เป็นผู้ถือกุญแจสำหรับไขเปิดตู้นิรภัยทั้ง 2 ดอกในช่วงดังกล่าว
ต่อมาในระหว่างที่ทั้งหมดเดินทางมาถึงธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่ริม และจอดรถไว้ที่บริเวณลานจอดรถเพื่อออกไปหาอาหารรับประทาน ในระหว่างรอธนาคารเปิดทำการนั้น นายชัชพงษ์ได้ขอยืมกุญแจรถจากนายณัฐวัฒน์ โดยอ้างว่าลืมกระเป๋าเงินไว้ในรถ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากระบบ GPS ที่พบว่ามีการเปิดตู้นิรภัยในช่วงเวลาดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการฉวยโอกาสในช่วงดังกล่าวทำการไขเปิดตู้นิรภัยโดยใช้กุญแจทั้ง 2 ดอกที่ถืออยู่ หรืออาจมีการปลดล๊อคตู้นิรภัยโดยไม่ไขล็อคภายหลังนำเงินใส่ตู้นิรภัยเสร็จแล้ว ซึ่งทำให้สามารถลักลอบนำเงินออกจากตู้นิรภัยได้ในภายหลัง
นอกจากนี้ รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ากรณีดังกล่าวน่าจะมีผู้ร่วมก่อเหตุนอกเหนือจากพนักงานประจำรถขนเงินทั้ง 2 ราย โดยพบว่ามีรถยนต์กระบะสีดำเข้ามาจอดประกบกับรถขนเงิน ขณะจอดอยู่ในลานจอดรถของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่ริม ตรงกับช่วงเวลาที่มีข้อมูลจากระบบ GPS ว่ามีการเปิดตู้นิรภัย คาดว่ารถกระบะคันดังกล่าวอาจเป็นรถที่ผู้ร่วมขบวนการใช้ในการขนย้ายเงินออกจากรถขนเงิน ซึ่งในขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามสืบหารถคันดังกล่าวแล้ว
วันนี้ (7 มี.ค. 2556) รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหาในกรณีเงินจำนวน 9.2 ล้านบาทหายไปจากรถขนเงินของบริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่ริมเมื่อวานนี้ (6 มี.ค.) แล้ว โดย พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอศาลอนุมัติออกหมายจับนายสุดปรีชา ทองพัน และนายชัชพงศ์ อุทยาน หัวหน้าชุดและคณะกรรมการร่วมประจำรถขนเงินในข้อหาลักทรัพย์แล้ว หลังจากสืบสวนแล้วพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเงินหายดังกล่าว ส่วนนายณัฐวัฒน์ สายอุดม คนขับรถนั้นยังไม่มีการขอออกหมายจับแต่อย่างใด
โดยข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อพฤติการณ์ของพนักงานประจำรถทั้ง 2 ราย ซึ่งนำไปสู่การออกหมายจับในครั้งนี้ อยู่ที่การถือกุญแจที่ใช้ไขรถและตู้นิรภัยภายในรถ ซึ่งตามปกติจะมีทั้งสิ้น 3 ดอก ประกอบด้วยกุญแจรถซึ่งนายณัฐวัฒน์เป็นผู้รับผิดชอบ กับกุญแจอีก 2 ดอกที่ใช้สำหรับไขเปิดตู้นิรภัย ซึ่งดอกหนึ่งจะเก็บรักษาโดยหัวหน้าชุด ส่วนอีกดอกหนึ่งจะอยู่ที่คณะกรรมการร่วม
อย่างไรก็ตาม ในวันเกิดเหตุพบว่านายสุดปรีชาซึ่งเป็นหัวหน้าชุด เดินทางมาถึงธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาข่วงสิงห์ ภายหลังจากที่นายชัชพงษ์ คณะกรรมการร่วม พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารได้นำเงินใส่ในตู้นิรภัยภายในรถแล้ว โดยนายชัชพงษ์เป็นผู้ถือกุญแจสำหรับไขเปิดตู้นิรภัยทั้ง 2 ดอกในช่วงดังกล่าว
ต่อมาในระหว่างที่ทั้งหมดเดินทางมาถึงธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่ริม และจอดรถไว้ที่บริเวณลานจอดรถเพื่อออกไปหาอาหารรับประทาน ในระหว่างรอธนาคารเปิดทำการนั้น นายชัชพงษ์ได้ขอยืมกุญแจรถจากนายณัฐวัฒน์ โดยอ้างว่าลืมกระเป๋าเงินไว้ในรถ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากระบบ GPS ที่พบว่ามีการเปิดตู้นิรภัยในช่วงเวลาดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการฉวยโอกาสในช่วงดังกล่าวทำการไขเปิดตู้นิรภัยโดยใช้กุญแจทั้ง 2 ดอกที่ถืออยู่ หรืออาจมีการปลดล๊อคตู้นิรภัยโดยไม่ไขล็อคภายหลังนำเงินใส่ตู้นิรภัยเสร็จแล้ว ซึ่งทำให้สามารถลักลอบนำเงินออกจากตู้นิรภัยได้ในภายหลัง
นอกจากนี้ รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ากรณีดังกล่าวน่าจะมีผู้ร่วมก่อเหตุนอกเหนือจากพนักงานประจำรถขนเงินทั้ง 2 ราย โดยพบว่ามีรถยนต์กระบะสีดำเข้ามาจอดประกบกับรถขนเงิน ขณะจอดอยู่ในลานจอดรถของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่ริม ตรงกับช่วงเวลาที่มีข้อมูลจากระบบ GPS ว่ามีการเปิดตู้นิรภัย คาดว่ารถกระบะคันดังกล่าวอาจเป็นรถที่ผู้ร่วมขบวนการใช้ในการขนย้ายเงินออกจากรถขนเงิน ซึ่งในขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามสืบหารถคันดังกล่าวแล้ว
