ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - โคราชอากาศเปลี่ยนแปลงทำ “หลวงพ่อคูณ” มีเสมหะในลำคอมากขึ้น แพทย์ห่วงเกรงเกิดภาวะเสมหะอุดตันทางเดินหายใจเฉียบพลันต้องเฝ้าติดตามใกล้ชิด เผยอาการโดยรวมทรงตัว ให้ทำกายภาพบนเตียงยังไม่ลุกขึ้นไปปั่นจักรยานอีก ระบุผลเอกซเรย์ปอดดีขึ้นแต่ยังไม่หายเป็นปกติ ขอดูอาการอีก 1 สัปดาห์ก่อนประเมินกลับวัดบ้านไร่
วันนี้ (20 ธ.ค.) นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยถึงอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่พักรักษาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ด้วยภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดอาการโดยรวมยังทรงตัว ไม่มีไข้ พูดคุยมากขึ้น แต่มีปัญหาเรื่องเสลดเสมหะมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ทำให้ท่านหายใจไม่สะดวก ทางคณะแพทย์กลัวจะเกิดภาวะเสมหะอุดตันระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันขึ้น ซึ่งได้ให้พยาบาลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ส่วนการรักษาขณะนี้ยังเป็นแนวทางเดิม คือให้ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ และเคาะปอดด้วยเครื่องมือแพทย์เพื่อให้เสมหะออกมาจากลำคอให้ได้มากที่สุด พร้อมติดตามภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ พร้อมให้ทำกายภาพบนเตียงเพื่อบริหารกล้ามเนื้อแต่ยังไม่ให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานไฟฟ้าอีก หลังจากเมื่อ 2 วันที่แล้วได้ให้ท่านปั่นจักรยานไฟฟ้าไปแล้วเนื่องจากระบบการหายใจยังไม่ดีพอ
ทั้งนี้ จากการเอกซเรย์ปอดครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ พบว่าสภาพเนื้อปอดดีขึ้นกว่าเดิม แต่ยังไม่หายเป็นปกติ และมีอาการอักเสบอยู่เล็กน้อย ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกสักระยะเนื่องจากหลวงพ่อคูณมีพยาธิสภาพเดิมอยู่แล้ว ทั้งวัณโรคปอดที่หายไปแล้ว และท่านยังเคยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ทำให้การหดตัวของหลอดลมไม่ปกติ อาจมีการบีบรัดตัวมากและเมื่อมีเสมหะมากก็ยิ่งเป็นปัญหากับการหายใจท่านได้ ฉะนั้นช่วงนี้จึงต้องให้หลวงพ่อพักผ่อนให้มากและให้งดเยี่ยมต่อไปเพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม
“การพิจารณากลับวัดบ้านไร่นั้นยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้ ขอดูอาการต่อไปอีกสัก 1 สัปดาห์จึงจะพิจารณาอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าตราบใดที่ท่านยังไม่แข็งแรง และยังต้องรับการรักษา คณะแพทย์ก็ไม่สบายใจ เนื่องจากอะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอด ประกอบกับท่านอายุมากแล้วและมีโรคประจำตัวหลายอย่าง จึงต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด” นพ.พินิศจัยกล่าวในตอนท้าย
