ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - TABCO รับลูกกระทรวงเกษตรฯ ลงนามร่วมวิสาหกิจชุมชนรับซื้อลำไยอบแห้งแก้ปัญหาผลผลิตตกค้าง เผยคัดของคุณภาพก่อน หากได้มาตรฐานส่งไปจีนทันที ระบุเดินหน้าส่งทุกสัปดาห์พร้อมเปิดตลาดใหม่ตามเมืองใหญ่ ส่วนเกษตรกรอีก 45 วันรอรับเงินได้ ชี้ระยะยาวผู้ผลิตต้องทำลำไยให้ได้มาตรฐานแก้ปัญหาของค้าง-ราคาต่ำ พร้อมเล็งไปอินเดีย หลังพบตลาดนิยมกินแต่ยังซื้อผ่านจีน
วันนี้ (23 พ.ย.) ที่โรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด จ.เชียงใหม่ นายแลอง เทพวิทักษ์กิจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายลำไยอบแห้งทั้งเปลือกระหว่างวิสาหกิจชุมชน และบริษัทไทยธุรกิจเกษตร (TABCO) โดยมีตัวแทนจากวิสาหกิจชุมชน 6 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา แพร่ และน่าน ตัวแทนจาก TABCO และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมพิธี
การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการในการแก้ไขปัญหาลำไยอบแห้งของคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ ที่กำหนดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ประสานงานให้บริษัท ไทยธุรกิจการเกษตร เข้ารับซื้อผลผลิตลำไยอบแห้งทั้งเปลือกจากกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มสหกรณ์ ภายใต้วงเงิน 75 ล้านบาท ที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หลังจากที่ในปีนี้สถานการณ์ลำไยอบแห้งในตลาดมีปัญหา เนื่องจากเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนในเรื่องของราคา และการตลาด จนนำไปสู่การร้องเรียนต่อรัฐบาลให้ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นอกจากลำไยในส่วนของกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มสหกรณ์แล้ว คณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ ยังได้กำหนดให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ประสานงานในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเข้าเจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออก และตัวแทนผู้นำเข้าจากประเทศจีน เพื่อตกลงราคาซื้อขาย และหาทางระบายผลผลิตลำไยอบแห้งในส่วนของผู้ประกอบการรายย่อยอีกด้วย
นายฉลองกล่าวว่า หลังจากการลงนามในบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ ทาง TABCO จะเริ่มทำการตรวจสอบคุณภาพลำไยอบแห้งทั้งเปลือก ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนทั้ง 6 แห่ง หากพบว่า ได้มาตรฐานก็จะรับซื้อ และบรรจุหีบห่อเพื่อจัดส่งไปยังประเทศจีน โดยในขณะนี้ มีการจัดส่งลำไยอบแห้งออกไปแล้วรวม 10 ตู้คอนเทนเนอร์ และจะทยอยส่งอย่างต่อเนื่องในทุกสัปดาห์ ส่วนการหาตลาดเพื่อจำหน่ายสินค้านั้นจะเป็นหน้าที่ของ TABCO ทั้งในการหาผู้รับซื้อ และขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น ที่กว่างเจา ซึ่งมีแผนที่จะนำสินค้าเข้าไปเปิดตลาด
สำหรับงบประมาณที่ใช้สนับสนุนโครงการดังกล่าว นายฉลองระบุว่า ธ.ก.ส.เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ จำนวน 75 ล้านบาท ในรูปแบบเงินกู้เพื่อ TABCO นำไปจัดซื้อลำไยอบแห้งจากลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยกำหนดราคารับซื้อขนาด AA ซึ่งเป็นขนาด และคุณภาพที่ดีที่สุด ที่กิโลกรัมละประมาณ 80 บาท ทั้งนี้ ลำไยที่จะรับซื้อจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ รวมทั้งผ่านการล้าง และอบเป็นอย่างดี ส่วนภายหลังจากการรับซื้อทางวิสาหกิจชุมชนจะได้รับเงินจาก TABCO ภายใน 45 วัน ขณะที่ลำไยคุณภาพระดับอื่นๆ นอกจากนี้ ก็จะมีราคาลดหลั่นกันไปตามคุณภาพ
นายฉลองกล่าวว่า การเข้ามารับซื้อลำไยอบแห้งของ TABCO ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการ และการนำกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยมาเจรจากับผู้ส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวจะต้องชี้ให้เกษตรกรเห็นว่า การผลิตลำไยอบแห้งจะต้องศึกษาความต้องการของตลาด รวมทั้งผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพ และมาตรฐาน จึงจะสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูง และไม่ประสบปัญหาด้านตลาดอีก
นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังเปิดเผยด้วยว่า ทางรัฐบาลได้เล็งเห็นว่าไม่ควรผูกติดการซื้อขายลำไยอบแห้งไว้กับตลาดจีนเพียงแห่งเดียว แต่ควรจะแสวงหาตลาดอื่นๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการกระจายผลผลิต โดยในขณะนี้ ได้มีการศึกษาตลาด และทำบันทึกข้อตกลงกับผู้ประกอบการด้านดีพาร์ตเมนต์สโตร์ในประเทศอินเดียแล้ว เพื่อสร้างความร่วมมือในการหาช่องทางจำหน่ายลำไยอบแห้งในตลาดอินเดีย เพราะจากการศึกษาพบว่า ในปัจจุบัน ลูกค้าในตลาดบนของอินเดียให้ความสนใจซื้อลำไยอบแห้งบริโภคผ่านทางประเทศจีน ดังนั้น จึงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ไทยสามารถส่งผลผลิตเข้าไปจำหน่ายโดยตรงได้
วันนี้ (23 พ.ย.) ที่โรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด จ.เชียงใหม่ นายแลอง เทพวิทักษ์กิจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายลำไยอบแห้งทั้งเปลือกระหว่างวิสาหกิจชุมชน และบริษัทไทยธุรกิจเกษตร (TABCO) โดยมีตัวแทนจากวิสาหกิจชุมชน 6 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา แพร่ และน่าน ตัวแทนจาก TABCO และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมพิธี
การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการในการแก้ไขปัญหาลำไยอบแห้งของคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ ที่กำหนดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ประสานงานให้บริษัท ไทยธุรกิจการเกษตร เข้ารับซื้อผลผลิตลำไยอบแห้งทั้งเปลือกจากกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มสหกรณ์ ภายใต้วงเงิน 75 ล้านบาท ที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หลังจากที่ในปีนี้สถานการณ์ลำไยอบแห้งในตลาดมีปัญหา เนื่องจากเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนในเรื่องของราคา และการตลาด จนนำไปสู่การร้องเรียนต่อรัฐบาลให้ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นอกจากลำไยในส่วนของกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มสหกรณ์แล้ว คณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ ยังได้กำหนดให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ประสานงานในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยเข้าเจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออก และตัวแทนผู้นำเข้าจากประเทศจีน เพื่อตกลงราคาซื้อขาย และหาทางระบายผลผลิตลำไยอบแห้งในส่วนของผู้ประกอบการรายย่อยอีกด้วย
นายฉลองกล่าวว่า หลังจากการลงนามในบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ ทาง TABCO จะเริ่มทำการตรวจสอบคุณภาพลำไยอบแห้งทั้งเปลือก ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนทั้ง 6 แห่ง หากพบว่า ได้มาตรฐานก็จะรับซื้อ และบรรจุหีบห่อเพื่อจัดส่งไปยังประเทศจีน โดยในขณะนี้ มีการจัดส่งลำไยอบแห้งออกไปแล้วรวม 10 ตู้คอนเทนเนอร์ และจะทยอยส่งอย่างต่อเนื่องในทุกสัปดาห์ ส่วนการหาตลาดเพื่อจำหน่ายสินค้านั้นจะเป็นหน้าที่ของ TABCO ทั้งในการหาผู้รับซื้อ และขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น ที่กว่างเจา ซึ่งมีแผนที่จะนำสินค้าเข้าไปเปิดตลาด
สำหรับงบประมาณที่ใช้สนับสนุนโครงการดังกล่าว นายฉลองระบุว่า ธ.ก.ส.เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ จำนวน 75 ล้านบาท ในรูปแบบเงินกู้เพื่อ TABCO นำไปจัดซื้อลำไยอบแห้งจากลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยกำหนดราคารับซื้อขนาด AA ซึ่งเป็นขนาด และคุณภาพที่ดีที่สุด ที่กิโลกรัมละประมาณ 80 บาท ทั้งนี้ ลำไยที่จะรับซื้อจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ รวมทั้งผ่านการล้าง และอบเป็นอย่างดี ส่วนภายหลังจากการรับซื้อทางวิสาหกิจชุมชนจะได้รับเงินจาก TABCO ภายใน 45 วัน ขณะที่ลำไยคุณภาพระดับอื่นๆ นอกจากนี้ ก็จะมีราคาลดหลั่นกันไปตามคุณภาพ
นายฉลองกล่าวว่า การเข้ามารับซื้อลำไยอบแห้งของ TABCO ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการ และการนำกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยมาเจรจากับผู้ส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวจะต้องชี้ให้เกษตรกรเห็นว่า การผลิตลำไยอบแห้งจะต้องศึกษาความต้องการของตลาด รวมทั้งผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพ และมาตรฐาน จึงจะสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูง และไม่ประสบปัญหาด้านตลาดอีก
นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังเปิดเผยด้วยว่า ทางรัฐบาลได้เล็งเห็นว่าไม่ควรผูกติดการซื้อขายลำไยอบแห้งไว้กับตลาดจีนเพียงแห่งเดียว แต่ควรจะแสวงหาตลาดอื่นๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการกระจายผลผลิต โดยในขณะนี้ ได้มีการศึกษาตลาด และทำบันทึกข้อตกลงกับผู้ประกอบการด้านดีพาร์ตเมนต์สโตร์ในประเทศอินเดียแล้ว เพื่อสร้างความร่วมมือในการหาช่องทางจำหน่ายลำไยอบแห้งในตลาดอินเดีย เพราะจากการศึกษาพบว่า ในปัจจุบัน ลูกค้าในตลาดบนของอินเดียให้ความสนใจซื้อลำไยอบแห้งบริโภคผ่านทางประเทศจีน ดังนั้น จึงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ไทยสามารถส่งผลผลิตเข้าไปจำหน่ายโดยตรงได้