ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - เผยชาวโคราชป่วยโรคเบาหวานอื้อกว่า 1.5 แสนคน มีแนวโน้มเพิ่มไม่หยุด ส่วนใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไป ชายหญิงสัดส่วนเท่ากัน ด้าน รพ.มหาราชนครราชสีมาจัดรณรงค์ “วันเบาหวานโลก” เพื่อคัดกรองผู้ป่วยรายใหม่ และให้ความรู้ ปชช.ดูแลป้องกันโรคเบาหวาน แพทย์แนะเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ให้กินผักมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
วันนี้ (14 พ.ย.) ที่ห้องประชุมหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ชั้น 9 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เป็นประธานเปิดงาน “วันเบาหวานโลก ปี 2555” ซึ่งองค์การอนามัยโลกและสหพันธ์เบาหวานนานาชาติได้กำหนดให้วันที่ 14 พ.ย. ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก
ทั้งนี้ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการป้องกันโรคเบาหวานที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ โดยมีคณะแพทย์ พยาบาล, อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมาเข้าร่วมงานจำนวนมาก
โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาได้จัดกิจกรรมการบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วเพื่อคัดกรองผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ ให้คำปรึกษาแนะนำการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับโภชนาการ ดูแลเบาหวานโดยใช้แพทย์แผนไทย บรรยายให้ความรู้เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยจากโรคเบาหวาน มีความรู้ ความเข้าใจในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน เพื่อลดจำนวนผู้เป็นเบาหวานรายใหม่และลดการเจ็บป่วยจากโรคเบาหวาน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและญาติผู้ป่วยเข้าทำการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า ในปี 2555 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มาใช้บริการโรงพยาบาลนครราชสีมาจำนวนกว่า 12,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 35 ของจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานใน จ.นครราชสีมาทั้งหมดกว่า 150,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ที่อยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชฯ ประมาณกว่า 10,000 คน
ปี 2554 มีผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาทั้งหมด 9,521 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่พบอยู่ในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป และช่วงอายุ 45 ปีจะมีความชุกในการตรวจพบมากที่สุด อัตราส่วนผู้หญิงกับผู้ชายป่วยเป็นโรคเบาหวานใกล้เคียงกัน ปัจจุบันพบเด็กแรกเกิดป่วยโรคเบาหวานด้วยเนื่องจากมีระบบการผลิตฮอร์โมนผิดปกติ แต่เป็นคนละชนิดกับที่เกิดในผู้ใหญ่
นพ.ณรงค์กล่าวต่อว่า โรคเบาหวานมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความรุนแรงที่แตกต่างกัน หากการควบคุมภาวะน้ำตาลไม่ดีจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับผู้ป่วยอย่างมาก การรักษาในปัจจุบันแพทย์จะให้การรักษาตามอาการที่เป็นเพื่อควบคุมน้ำตาล แต่ปัจจุบันวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาขึ้น มีการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ลงไปในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะตับอ่อน แต่เทคโนโลยีนี้ยังไม่กระจายไปยังกลุ่มคนทั่วไปจำกัดอยู่ในเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ในขณะนี้จึงยังต้องใช้ยาในการรักษาตามอาการอยู่
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวาน คือการเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากๆ เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรรับประทานอาหารประเภทผักให้มากๆ เพราะในผักมีไฟเบอร์ และน้ำตาลไม่สูง จะทำให้มีสุขภาพดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยให้ดูแลสุขภาพตามที่แพทย์แนะนำและรักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ พักผ่อนให้เพียงพอ” นพ.ณรงค์กล่าว
