ศูนย์ข่าวศรีราชา - สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี หวั่นการเปิดประเทศสู่ AEC ในปี 2558 ของไทย จะทำให้จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ที่มีการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างชาติมากขึ้นจากการเป็นเมืองท่า เมืองท่องเที่ยวและเมืองอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดปัญหาสังคม อาชญกรรมและการเกิดขึ้นของขยะชุมชนที่เพิ่มมากขึ้น ปลุกเจ้าหน้าที่รัฐ ตื่นตัวบังคับใช้กฎหมายในเรื่องต่างๆ ให้ถูกที่และถูกทาง เพื่อเตรียมรับมือกับการเข้ามาของกลุ่มคนจำนวนมาก
นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี ให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่ประเทศไทย จะเปิดประเทศรับประชาคมอาเซียนในปี 2558 ว่า หากมองในแง่ของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แล้วประเทศไทยค่อนข้างได้เปรียบ และมีแนวโน้มที่จะเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนในกลุ่มประเทศแถบเอเชีย
เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ระหว่างการเชื่อมโยงของ 2 ประเทศใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากอย่างจีน และอินเดีย ซึ่งจะทำให้สามารถส่งออกสินค้าจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าที่หลากหลายได้มากขึ้นแล้ว คุณภาพของสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้านยังจะทำให้ตัวเลขการส่งออกสินค้าในอาเซียนที่ปัจจุบันไทยมีประมาณ 20% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดเพิ่มตามไปด้วย
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ผลจากการเปิดประเทศให้ประชากรจากชาติต่างๆ เข้ามาทำมาหากินได้โดยเสรี จะก่อให้เกิดการหลั่งไหลเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากการเป็นเมืองที่มีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว
ขณะที่การใช้บังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังถือว่าอ่อนแอ และเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้องเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากผู้บังคับใช้กฎหมายของไทย ยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายที่มีได้อย่าเคร่งครัด ปัญหาอาชญากรรมก็จะหลากหลายและรุนแรงขึ้น จากการเข้ามาของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ และการเข้ามาของแรงงานต่างชาติ ที่จะก่อให้เกิดขยะชุมชน ปัญหาสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นทั้งเมืองท่า และศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคอุตสาหกรรม ที่จะมีแรงงานจากชาติต่างๆ เข้ามามาก จากการลงทุนในธุรกิจ SMEs ของกลุ่มทุน สิงคโปร ญี่ปุ่น และจีน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในด้านบวก ก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ผลพวงที่ตามมา คือ สภาพการจราจรที่จะติดขัดอย่างหนักหน่วง และการเกิดขึ้นของขยะชุมชน และปัญหายาเสพติดและการเกิดใหม่ของอาชีพผิดกฎหมายต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่อยากฝากไว้คือ รัฐบาล ต้องกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่รัฐและผู้บังคับใช้กฎหมาย บังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นปัญหาจะเกิดขึ้นจนยากแก่การควบคุม”
นายสุรชัย ยังเผยอีกว่า กระทรวงแรงงาน ยังจะต้องควบคุมใบอนุญาตเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างชาติอย่างเข้มแข็งและจริงจัง ส่วนนักลงทุนไทย ก็จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นจากการเข้ามาของกลุ่มทุนชาติเอเชียด้วยกัน ด้วยการมองหาลู่ทางลงทุนในประเทศที่ยังมีค่าแรงที่ถูกกว่าไทย
“ในวันนี้ก็คงต้องบอกว่าประเทศไทยพร้อมแล้วสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่เขามีความพร้อมในด้านการพัฒนาคน โดยเฉพาะเรื่องภาษาเพื่อรองรับกับการแข่งขัน ซึ่งหากหน่วยงานต่างๆ ของไทยยังไม่ปรับตัวรับ และพัฒนาบุคลากรด้านภาษาก็อาจเสียเปรียบในเรื่องการแข่งขันได้” นายสุรชัย กล่าว