ลำปาง - เจ้าของรถบรรทุกโวย หลังถูกตำรวจทางหลวงจับข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกิน ทั้งที่ชั่งหน้าโรงโม่หินระบุเกิน 700 กิโลกรัม แต่พอตำรวจนำไปชั่งกลับเกิน 4 ตันกว่า
รายงานข่าวจากจังหวัดลำปางแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง พร้อมด้วยตัวแทนของ หจก.สุธีคอนสตรัคชั่น ได้นำรถบรรทุกกึ่งพ่วง หมายเลขทะเบียนหัวพ่วง 80-4833 ลป และทะเบียนพ่วงท้าย 81-0727 ลป ซึ่งบรรทุกลูกรังครึ่งกระบะพ่วง เข้าตรวจสอบน้ำหนักอย่างเป็นทางการ ที่สถานีตรวจสอบน้ำหนักยานพาหนะเกาะคา อ.เกาะคา จ.ลำปาง บนถนนสายเอเชีย ลำปาง-กรุงเทพฯ กิโลเมตรที่ 585-658 เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) หลังจากที่เจ้าของรถคือนายสุธี วัฒนวิเชียร หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.สุธีคอนสตรัคชั่น ให้ทนายความร้องขอต่อศาลจังหวัดลำปาง เพื่อขอให้ศาลอนุญาตนำรถบรรทุกคันดังกล่าว ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้ที่ สภ.เถิน ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 55 เข้ามาตรวจสอบน้ำหนักยังสถานีตรวจสอบน้ำหนักยานพาหนะที่ได้มาตรฐาน
เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 55 หจก.สุธีคอนสตรัคชั่นได้ให้นายวรวุฒิ ถาน้อย อายุ 51 ปี พนักงานขับรถบรรทุกไปซื้อหินคลุก (ลูกรัง) ที่โรงโม่หินแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง 1 เที่ยวเพื่อนำมาถมที่ และเพิ่งซื้อเป็นครั้งแรก หลังจากที่คนงานได้ให้แบ็กโฮตักหินขึ้นบนกระบะพ่วงแล้วก็ได้นำรถเข้าชั่งน้ำหนัก และมีการออกใบซื้อสินค้าให้ พร้อมระบุน้ำหนักที่ชั่งได้คือ 45,700 กิโลกรัม ซึ่งมีน้ำหนักเกิน 700 กิโลกรัม แต่เนื่องจากกระบวนการตักและบรรทุกหินมีความยุ่งยาก การที่จะเอาหินออก 700 กิโลกรัมจึงไม่สามารถทำได้
เมื่อรถบรรทุกออกจากโรงโม่มาเพียง 5 กิโลเมตร ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจอดรถอยู่และโบกให้จอด พร้อมกับขอดูใบซื้อสินค้าที่มาพร้อมกับรถ เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าน้ำหนักเกินจึงขอให้นำรถไปตรวจสอบน้ำหนักอีกครั้งที่ด่านชั่งน้ำหนักจรูญพืชผล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจะใช้ตราชั่ง ซึ่งเป็นเครื่องชั่งสินค้าเกษตรในการชั่งรถบรรทุกมาโดยตลอด และเมื่อนำรถขึ้นชั่งน้ำหนักปรากฏว่าน้ำหนักเกินไป 4.2 ตัน คือ 4,200 กิโลกรัม มากกว่าที่ชั่งหน้าโรงโม่ที่วัดได้ 700 กิโลกรัม
เจ้าของรถจึงขอให้นำรถมาชั่งที่สถานีตรวจวัดที่ได้มาตรฐานของกรมทางหลวงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยินยอม และได้ยึดรถไว้ที่ สภ.เถิน จนต้องให้ทนายความร้องต่อศาล และศาลได้อนุญาตให้นำรถมาตรวจสอบน้ำหนักอย่างเป็นทางการ ณ สถานีตรวจสอบน้ำหนักยานพาหนะ เกาะคา
จากการตรวจสอบยังคงมีความสับสน และเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างการชั่งน้ำหนักรถทั้งคันคือ รวมทั้งหัวพ่วงและตัวพ่วง หรือการแยกชั่งระหว่างหัวพ่วง และตัวพ่วงท้าย เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง และกรมทางหลวงมีกฎหมายระบุให้ชั่งแยกส่วนหัวพ่วง ท้ายพ่วง โดยให้ดูที่เพลาและล้อมาประกอบเพื่อใช้คำนวณน้ำหนัก แต่ที่ป้ายด้านหน้าสถานที่ตรวจสอบน้ำหนักกลับระบุว่าเป็นน้ำหนักรวม
ซึ่งกรณีของผู้ร้องตรงกับรถบรรทุก 5 เพลา 18 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 45 ตัน หากเป็นไปตามที่ระบุตามป้ายดังกล่าว เมื่อนำรถขึ้นชั่งแล้วปรากฏว่าน้ำหนักเกินไปเพียง 440 กิโลกรัมเท่านั้น แต่หากให้แยกหัวพ่วงและพ่วงท้ายออกจากกันจะทำให้น้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นกว่า 4,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ความสับสนดังกล่าวยังเป็นประเด็นปัญหาว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบจะใช้มาตรฐานใดในการตรวจวัดน้ำหนักรถบรรทุก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะกลายเป็นช่องว่างให้ผู้ที่ใช้กฎหมายในการแสวงหาประโยชน์ในเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากที่ผ่านมาการชั่งน้ำหนักรถบรรทุก ทางหน่วยงานไม่เคยระบุให้ชัดเจนว่าจะต้องชั่งแยกส่วน แต่ระบุเพียงน้ำหนักรวม ขณะที่ผู้ขับรถบรรทุกเข้าใจว่าน้ำหนักรวมที่ระบุไว้คือน้ำหนักรวมทั้งส่วนหัว และตัวพ่วงทั้งหมด