จันทบุรี - สถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่จันทบุรี ขณะนี้พบว่า อาจใช้เป็นช่องทางลำเลียงจากกลุ่มขบวนการค้ายา ตามเส้นทางชายทะเลเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (30 พ.ค.) นายวิชิต ชาติไพสิต ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ในฐานะศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จ.จันทบุรี สรุปสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่จันทบุรี พบว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของยาเสพติด ยังคงเป็นลักษณะกระจายไปตามตำบล และอำเภอ ซึ่งความรุนแรงในแต่ละพื้นที่ กลุ่มผู้เสพ และกลุ่มผู้ค้า พบในลักษณะรายย่อย โดยมีผู้ค้าจากนอกจังหวัด เป็นผู้ส่งมอบยาเสพติดให้แก่ผู้ค้าและผู้เสพ โดยมีการนัดส่งทางโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นยาบ้า ยาไอซ์ กัญชา กระท่อม และสารระเหย การเฝ้าระวังจะเป็นพื้นที่บริเวณ จุดผ่านแดนถาวร และที่จุดผ่อนปรนทางการค้า ใน อ.โป่งน้ำร้อน อ.สอยดาว เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดใช้เป็นช่องทางลำเลียงเข้ามาจากนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดได้กำหนดมาตรการควบคุมเพิ่มขึ้น พื้นที่อำเภอชายทะเลของ อ.แหลมสิงห์ ขลุง ท่าใหม่ และนายายอาม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีแนวโน้มที่กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดจะใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งเป็นรอยต่อมีเส้นทางเหมาะกับการลำเลียงยาเสพติด
ส่วนแนวโน้มยาเสพติด พบยาไอซ์แพร่ระบาดในจันทบุรีเพิ่มสูงขึ้น โดยเครือข่ายยาไอซ์มาจากกลุ่มเครือข่ายผู้ค้า และผู้เสพยาบ้าเดิม โดยการลำเลียงจะเป็นชาวแอฟริกัน และผู้หญิงชาวไทยที่เป็นภรรยา ซึ่งนำเข้ามาทางจุดผ่านแดนบริเวณพื้นที่อำเภอชายแดน ในอนาคตจะมีการปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางคมนาคม การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนของประเทศกัมพูชา ซึ่งจะเอื้อต่อการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาประเทศไทย
นอกจากนี้ ในเรื่องการเฝ้าระวังการลักลอบใช้ยาที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบ จากการตรวจสอบใน 3 ส่วน ร้านขายยา คลินิก โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลรัฐ ไม่พบปัญหาเรื่องยาหลุดออกจากระบบ จะมีร้านขายยาที่มีค้างอยู่มอบให้สำนักงานสาธารณสุข ทำลายต่อไป ส่วนใหญ่ที่ใช้ยาที่มีซูโดอีเฟดรีน เป็นโรงพยาบาลพระปกเกล้า จำนวน 3 แสนเม็ด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554-2555 โดยขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 3 หมื่นเม็ด จาก 61 เคส ซึ่งการสั่งยาจะมีการสั่งละประมาณ 5 หมื่นเม็ด และจะใช้ในกรณีที่จำเป็น
วันนี้ (30 พ.ค.) นายวิชิต ชาติไพสิต ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ในฐานะศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จ.จันทบุรี สรุปสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่จันทบุรี พบว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของยาเสพติด ยังคงเป็นลักษณะกระจายไปตามตำบล และอำเภอ ซึ่งความรุนแรงในแต่ละพื้นที่ กลุ่มผู้เสพ และกลุ่มผู้ค้า พบในลักษณะรายย่อย โดยมีผู้ค้าจากนอกจังหวัด เป็นผู้ส่งมอบยาเสพติดให้แก่ผู้ค้าและผู้เสพ โดยมีการนัดส่งทางโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นยาบ้า ยาไอซ์ กัญชา กระท่อม และสารระเหย การเฝ้าระวังจะเป็นพื้นที่บริเวณ จุดผ่านแดนถาวร และที่จุดผ่อนปรนทางการค้า ใน อ.โป่งน้ำร้อน อ.สอยดาว เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดใช้เป็นช่องทางลำเลียงเข้ามาจากนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดได้กำหนดมาตรการควบคุมเพิ่มขึ้น พื้นที่อำเภอชายทะเลของ อ.แหลมสิงห์ ขลุง ท่าใหม่ และนายายอาม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีแนวโน้มที่กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดจะใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งเป็นรอยต่อมีเส้นทางเหมาะกับการลำเลียงยาเสพติด
ส่วนแนวโน้มยาเสพติด พบยาไอซ์แพร่ระบาดในจันทบุรีเพิ่มสูงขึ้น โดยเครือข่ายยาไอซ์มาจากกลุ่มเครือข่ายผู้ค้า และผู้เสพยาบ้าเดิม โดยการลำเลียงจะเป็นชาวแอฟริกัน และผู้หญิงชาวไทยที่เป็นภรรยา ซึ่งนำเข้ามาทางจุดผ่านแดนบริเวณพื้นที่อำเภอชายแดน ในอนาคตจะมีการปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางคมนาคม การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนของประเทศกัมพูชา ซึ่งจะเอื้อต่อการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาประเทศไทย
นอกจากนี้ ในเรื่องการเฝ้าระวังการลักลอบใช้ยาที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบ จากการตรวจสอบใน 3 ส่วน ร้านขายยา คลินิก โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลรัฐ ไม่พบปัญหาเรื่องยาหลุดออกจากระบบ จะมีร้านขายยาที่มีค้างอยู่มอบให้สำนักงานสาธารณสุข ทำลายต่อไป ส่วนใหญ่ที่ใช้ยาที่มีซูโดอีเฟดรีน เป็นโรงพยาบาลพระปกเกล้า จำนวน 3 แสนเม็ด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554-2555 โดยขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 3 หมื่นเม็ด จาก 61 เคส ซึ่งการสั่งยาจะมีการสั่งละประมาณ 5 หมื่นเม็ด และจะใช้ในกรณีที่จำเป็น
