บุรีรัมย์ - ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนประกาศวาระจังหวัดแก้ไขปัญหาความยากจน หลังข้อมูล “จปฐ.” ระบุบุรีรัมย์มีครัวเรือนยากจนรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ 23,000 บาท/ปี กว่า7,000 ครัวเรือน มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศและเป็นอันดับ 1ของภาคอีสาน ตั้งเป้าวางมาตรการช่วยเหลือให้หลุดพ้นจนเกิน 50 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลาประชาคมจังหวัดบุรีรัมย์ นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อบูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับหน่วยงานภาคีทั้ง 23 อำเภอทั้งจังหวัดจัดขึ้น เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ปัญหาความยากจนเป็นนโยบายเร่งด่วน และกระทรวงมหาดไทยยังได้ดำเนินโครงการลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ด้วยการขจัดความยากจนในชนบท เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสการก่อตั้งกระทรวงครบ 120 ปี และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพครบรอบ 150 ปีวันประสูติ ในปี 2555 อีกด้วย
โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้นำหัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันประกาศวาระจังหวัดในการบูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ หลังจากที่ข้อมูล จปฐ. ปี 2554 พบว่าจังหวัดบุรีรัมย์มีครัวเรือนยากจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ 23,000 บาทต่อคนต่อปี มากถึง 7,092 ครัวเรือน มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจาก จ.แม่ฮ่องสอน และ มากเป็นอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลและวิเคราะห์ศักยภาพครัวเรือนยากจนเหล่านี้พบว่า แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย ครัวเรือนที่สามารพัฒนาตนเองได้ 3,839 ครัวเรือน,ครัวเรือนที่ต้องสงเคราะห์ 907 ครัวเรือน , ครัวเรือนที่ต้องการสนับสนุนอาชีพ 1,881 ครัวเรือนและครัวเรือนที่ต้องสงเคราะห์และรับการส่งเสริมอาชีพ 465 ครัวเรือน
นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาความยากจนถือเป็นปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนระดมช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีข้อมูลครัวเรือนยากจนมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ จึงได้มีการประกาศให้การแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นวาระของจังหวัด โดยจะไม่เน้นการนำสิ่งของไปแจกให้ชาวบ้านแต่จะเน้นแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนคือให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมและตระหนักถึงปัญหาของตนเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
พร้อมทั้งจะสนับสนุนในด้านการประกอบอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ โดยน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงในปรับใช้ ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าจะแก้ไขปัญหาให้ครัวเรือนยากจนร้อยละ 50 หรือ 3,546 ครัวเรือน พ้นจากความยากจนให้ได้
