ศูนย์ข่าวศรีราชา - เผยตัวเลขอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออก ช่วงไตรมาสแรกปี 2555 สูงเฉียด 5 หมื่นล้านบาท โดยจังหวัดชลบุรี มีโครงการที่ได้รับอนุมัติสูงสุด แต่มูลค่าการลงทุนสูงสุดกลับอยู่ในจังหวัดระยอง ขณะที่ตัวเลขการลงทุนในไตรมาสแรกปี 2555 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 1 หมื่นล้านบาท
นายสุวิชช์ ฉั่ววิเชียร ผู้อำนวยการ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 (บีโอไอ ชลบุรี) เผยถึงการลงทุนในภาคตะวันออก ช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 (มกราคม-มีนาคม) ว่า โดยภาพรวมแล้วพื้นที่ 8 จังหวัดภาคตะวันออกที่ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี สระแก้ว นครนายก และจังหวัดตราด มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 163 โครงการ และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4.85 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญยังมีการจ้างงานจำนวน 13,339 คน
โดยจังหวัดชลบุรี ยังเป็นจังหวัดที่มีโครงการได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนสูงสุด คือมีจำนวนทั้งสิ้น 70 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 42.94 ของจำนวนโครงการทั้งหมด รองลงมาคือจังหวัดระยอง มีจำนวน 56 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 34.35 ของจำนวนโครงการทั้งหมด
ส่วนจังหวัดปราจีนบุรี มีจำนวนโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนมากเป็นอันดับที่ 3 คือมีจำนวนโครงการทั้งสิ้น 17 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 3,999.20 ล้านบาท ด้านจังหวัดฉะเชิงเทรา มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมลงทุน 16 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 2,704 ล้านบาท จังหวัดจันทบุรี มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 37.10 ล้านบาท จังหวัดสระแก้ว 1 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 14 ล้านบาท เช่นเดียวกับจังหวัดนครนายก ซึ่งมีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริม 1 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 880 ล้านบาท
แต่จังหวัดที่มีมูลค่าการลงทุนมากที่สุดกลับกลายเป็นจังหวัดระยอง ที่มีมูลค่าการลงทุนจำนวน 28,459.30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 58.60 รองลงมาคือ จังหวัดชลบุรี มีมูลค่าการลงทุน 12,468.10 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.67 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในไตรมาสแรก
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมากที่สุดในจังหวัดชลบุรี และระยอง ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นโลหะ และพลาสติกเป็นส่วนสำคัญ
นายสุวิชช์ ยังเผยอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 กับปี 2554 พบว่า ปี 2555 มีมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน กล่าวคือในปี 2554 ภาคตะวันออก มีเม็ดเงินลงทุนจำนวน 37,430 ล้านบาท แต่ในปี 2555 ไตรมาสแรกมีเงินลงทุนถึง 48,561.70 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นถึง 11,130 ล้านบาท โดยเชื่อว่าเป็นผลมาจากความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
“ภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการลงทุนที่ดี ยังคงอยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โดยภาคตะวันออก ถือเป็นฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า และยังเป็นพื้นที่รองรับอัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญ” นายสุวิชช์ กล่าว
นายสุวิชช์ ฉั่ววิเชียร ผู้อำนวยการ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 (บีโอไอ ชลบุรี) เผยถึงการลงทุนในภาคตะวันออก ช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 (มกราคม-มีนาคม) ว่า โดยภาพรวมแล้วพื้นที่ 8 จังหวัดภาคตะวันออกที่ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี สระแก้ว นครนายก และจังหวัดตราด มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 163 โครงการ และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4.85 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญยังมีการจ้างงานจำนวน 13,339 คน
โดยจังหวัดชลบุรี ยังเป็นจังหวัดที่มีโครงการได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนสูงสุด คือมีจำนวนทั้งสิ้น 70 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 42.94 ของจำนวนโครงการทั้งหมด รองลงมาคือจังหวัดระยอง มีจำนวน 56 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 34.35 ของจำนวนโครงการทั้งหมด
ส่วนจังหวัดปราจีนบุรี มีจำนวนโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนมากเป็นอันดับที่ 3 คือมีจำนวนโครงการทั้งสิ้น 17 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 3,999.20 ล้านบาท ด้านจังหวัดฉะเชิงเทรา มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมลงทุน 16 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 2,704 ล้านบาท จังหวัดจันทบุรี มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 37.10 ล้านบาท จังหวัดสระแก้ว 1 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 14 ล้านบาท เช่นเดียวกับจังหวัดนครนายก ซึ่งมีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริม 1 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 880 ล้านบาท
แต่จังหวัดที่มีมูลค่าการลงทุนมากที่สุดกลับกลายเป็นจังหวัดระยอง ที่มีมูลค่าการลงทุนจำนวน 28,459.30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 58.60 รองลงมาคือ จังหวัดชลบุรี มีมูลค่าการลงทุน 12,468.10 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.67 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในไตรมาสแรก
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมากที่สุดในจังหวัดชลบุรี และระยอง ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นโลหะ และพลาสติกเป็นส่วนสำคัญ
นายสุวิชช์ ยังเผยอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 กับปี 2554 พบว่า ปี 2555 มีมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน กล่าวคือในปี 2554 ภาคตะวันออก มีเม็ดเงินลงทุนจำนวน 37,430 ล้านบาท แต่ในปี 2555 ไตรมาสแรกมีเงินลงทุนถึง 48,561.70 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นถึง 11,130 ล้านบาท โดยเชื่อว่าเป็นผลมาจากความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
“ภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการลงทุนที่ดี ยังคงอยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โดยภาคตะวันออก ถือเป็นฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า และยังเป็นพื้นที่รองรับอัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญ” นายสุวิชช์ กล่าว
